ตรัง - แม้ราคาปุ๋ยในเมืองตรังจะขยับตัวสูงขึ้นบ้างในปีนี้ แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรมากนัก เนื่องจากสภาวะสินค้าด้านการเกษตร โดยเฉพาะยางพารายังมีราคาดีอย่างต่อเนื่องเกษตรกร เสนอให้รัฐบาลตั้งบริษัทปุ๋ยแห่งชาติขึ้นอีกครั้งให้สำเร็จ
ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสำรวจร้านจำหน่ายปุ๋ยเคมี และยาปราบศัตรูพืช ในตลาดสดเทศบาลนครตรัง หลังจากที่ทางรัฐบาลเข้ามาควบคุมราคาอย่างเข้มงวด เพื่อมิให้มีการปรับขึ้นจนส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ปรากฏว่ายังคงมีชาวตรังไปซื้อหาปุ๋ยเคมี และยาปราบศัตรูพืชมาใช้กันตามปกติ ถึงแม้บางยี่ห้อจะปรับราคาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่เนื่องจากสภาวะสินค้าด้านการเกษตร โดยเฉพาะยางพารา ที่ยังมีราคาดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกษตรกรมีกำลังในการซื้อหาปุ๋ยเคมี และยาปราบศัตรูพืชไปใช้ในสวนได้
นายวีระ ตระกูลรัมย์ ผู้จัดการ บริษัท ตรัง-มาเลเซีย เทคโนโลยีเกษตร จำกัด ธุรกิจจำหน่ายปุ๋ยเคมี และยาปราบศัตรูพืช รายใหญ่แห่งหนึ่งของจังหวัดตรัง กล่าวว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2554 ซึ่งน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ส่งผลให้มีการปรับราคาปุ๋ยเคมีขึ้นแล้ว 10-15% หรือจากเดิมเฉลี่ยกระสอบละ 950 บาท เป็นกระสอบละ 1,100 บาท หรือกระสอบละ 150 บาท เนื่องจากแม่ปุ๋ยเกือบ 100% ที่ใช้ในประเทศไทย ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ และก่อนถึงสิ้นปีนี้ยังมีโอกาสที่ปุ๋ยเคมีจะปรับขึ้นราคาไปถึง 30%
อย่างไรก็ตาม ชาวตรังก็ยังคงใช้ปุ๋ยเคมีกันตามปกติ เนื่องจากการที่ยางพารามีราคาดีนั้น ทำให้เกษตรกรกล้าซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้ ซึ่งจากเดิมจะใส่ต้นไม้ 2 ปีต่อ 1 ครั้ง มาเป็นปีละ 2 ครั้ง ประกอบกับการที่รัฐบาลเข้ามาควบคุมดูแลปุ๋ยเคมีอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้ส่งผลดีทั้งต่อผู้ประกอบการ และเกษตรกร เนื่องจากราคาสินค้าของทุกๆ ยี่ห้อจะเกิดความเป็นธรรม พร้อมเสนอแนะให้รัฐบาลตั้งบริษัท ปุ๋ยแห่งชาติ ขึ้นอีกครั้งให้สำเร็จ เพราะจะเป็นหนทางในการควบคุมทั้งคุณภาพและราคาสินค้า ดีกว่าให้กรมการค้าภายใน มาดูแลที่ปลายเหตุในวันนี้
ส่วนสถานการณ์ของยาปราบศัตรูพืชในปี 2554 โดยภาพรวมมีการปรับขึ้นราคาประมาณ 10% หรือจากเดิมแกลลอนละ 450 บาท เป็นแกลลอนละ 500 บาท และในปีนี้ยังอาจจะเกิดภาวะขาดแคลนด้วย เนื่องจากกลุ่มทุนตลาดล่วงหน้าในต่างประเทศ กำลังเข้ามากว้านซื้อปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช เพื่อรอการเทขายทำกำไรในช่วงประมาณปลายปี ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็จะทำให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ ทั้งต่อผู้ประกอบการ และเกษตรกร ในประเทศไทย เหมือนเช่นเมื่อปี 2551 ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่จะต้องรีบเร่งเข้ามาดูแลเสียก่อน