ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กรมทรัพยากรน้ำเดินหน้าติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย-ดินถล่มในพื้นที่ลาดชันและพื้นที่ราบเชิงเขา ภูเก็ต-พังงา ดำเนินการกว่า 30 ชุด ระบุปี 2554 มีเป้าหมายดำเนินการทั่วประเทศ 253 จุด ใช้งบประมาณในการดำเนินการกว่า 155 ล้านบาท หวังลดความสูญเสียจากเหตุการณ์น้ำท่วม-ดินถล่ม
วันนี้ (20 ก.ค.) นายวิวัฒน์ โสเจยยะ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาและอุทกวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ กล่าวภายหลังเปิดการประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่และประชาชนโครงการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้า Early Warning สำหรับพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย-ดินถล่มในพื้นที่ลาดชันและพื้นที่ราบเชิงเขาปีงบประมาณ 2554 ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำจัดขึ้นเพื่อระดมแนวความคิดการพิจารณาพื้นที่ในการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดพังงา
โดยมีประชาชน หน่วยงานราชการที่เกี่ยวจาก 2 จังหวัดเข้าร่วมที่โรงแรมเมโทรโพล อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยนายไชยวัฒน์ เทพี ปลัดจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความเสียงที่จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม-ดินถล่มสูง และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมากเนื่องจากสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงและการตัดทำลายต้นไม้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดชัน และพื้นที่ราบเชิงเขา จึงจำเป็นที่จะต้องหามาตรการในการป้องกันและลดความเสียหายจากเหตุการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติ
โดยมาตรการที่จะลดความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้คือมาตรการการเฝ้าระวังและการเตือนภัยล่วงหน้า หรือ Early Warning System ซึ่งเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าโดยการตรวจวัดข้อมูลปริมาณน้ำฝน หรือระดับน้ำท่าและนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลโดยผู้เชี่ยวชาญในการประกาศเตือนให้ประชาชนทราบและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการดำเนินโครงการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย-ดินถล่มในพื้นที่ลาดชันและพื้นที่ราบเชิงเขา ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547
โดยการสำรวจจุดติดตั้งระบบเตือนภัยในหมู่บ้านที่มีศักยภาพและสามารถแจ้งเตือนภัยไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งปัจจุบันได้มีการดำเนินการครอบคลุมในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย-ดินถล่ม 1,567 หมู่บ้าน จากจำนวนพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วประเทศ 2,370 หมู่บ้าน ซึ่งในปีงบประมาณ 2554 นั้นทางกรมทรัพยากรน้ำได้รับงบประมาณในการดำเนินการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าประจำหมู่บ้านเพิ่มเติมจากที่มีการดำเนินการไปแล้วอีกกว่า 155 ล้านบาท โดยดำเนินการในพื้นที่ 803 หมู่บ้าน 263 สถานีโดยจะเร่งดำเนินการให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
นายวิวัฒน์กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนของจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดพังงานั้นขณะนี้กำลังอยู่ระหว่าการระดมความคิดของของคนในพื้นที่ถึงจุดติดตั้งที่เหมาะสมว่าควรจะติดตั้งที่บริเวณใดซึ่งจากการสำรวจนั้นในส่วนของจังหวัดภูเก็ตมีเป้าหมายในการดำเนินการ 3 สถานี จำนวน 15 จุด ส่วนจังหวัดพังงามีเป้าหมายในการดำเนินการ 10 สถานี 21 จุด ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีความครอบคลุมในพื้นที่แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับพื้นที่เนื่องจากขณะนี้สภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง ฝนตกชุกหน้าแน่นตลอดปีส่งผลให้สภาพดินมีความเปลี่ยนแปลงทางกรมทรัพยากรน้ำจึงได้ทำการสำรวจเพื่อติดตั้งอุปกรณ์แจ้งเตือนภัยล่วงหน้าใหม่ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในปีนี้
หลังจากนั้นจะมีการเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อของบประมาณมาดำเนินการเพิ่มเติมซึ่งไม่ได้ดำเนินการเฉพาะภูเก็ต หรือพังงา แต่จะเป็นการสำรวจใหม่ทั่วทั้งประเทศ เพื่อเป็นการลดความสูญเสียจากเหตุการณ์ อุทกภัยและดินถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย เชื่อว่าถ้าสามารถทำได้ครอบคลุมก็จะช่วยเหลือประชาชนได้มาก
อย่างไรก็ตาม การติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้านั้น ตัวเครื่องจะมีการตรวจวัดปริมาณน้ำฝนและแจ้งไปยังศูนย์ข้อมูลทุก 15 นาที มั่นใจว่าจะสามารถแจ้งเตือนประชาชนให้ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยได้ภายในเวลา 1-3 ชั่วโมง
วันนี้ (20 ก.ค.) นายวิวัฒน์ โสเจยยะ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาและอุทกวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ กล่าวภายหลังเปิดการประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่และประชาชนโครงการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้า Early Warning สำหรับพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย-ดินถล่มในพื้นที่ลาดชันและพื้นที่ราบเชิงเขาปีงบประมาณ 2554 ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำจัดขึ้นเพื่อระดมแนวความคิดการพิจารณาพื้นที่ในการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดพังงา
โดยมีประชาชน หน่วยงานราชการที่เกี่ยวจาก 2 จังหวัดเข้าร่วมที่โรงแรมเมโทรโพล อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยนายไชยวัฒน์ เทพี ปลัดจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความเสียงที่จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม-ดินถล่มสูง และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมากเนื่องจากสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงและการตัดทำลายต้นไม้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดชัน และพื้นที่ราบเชิงเขา จึงจำเป็นที่จะต้องหามาตรการในการป้องกันและลดความเสียหายจากเหตุการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติ
โดยมาตรการที่จะลดความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้คือมาตรการการเฝ้าระวังและการเตือนภัยล่วงหน้า หรือ Early Warning System ซึ่งเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าโดยการตรวจวัดข้อมูลปริมาณน้ำฝน หรือระดับน้ำท่าและนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลโดยผู้เชี่ยวชาญในการประกาศเตือนให้ประชาชนทราบและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการดำเนินโครงการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย-ดินถล่มในพื้นที่ลาดชันและพื้นที่ราบเชิงเขา ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547
โดยการสำรวจจุดติดตั้งระบบเตือนภัยในหมู่บ้านที่มีศักยภาพและสามารถแจ้งเตือนภัยไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งปัจจุบันได้มีการดำเนินการครอบคลุมในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย-ดินถล่ม 1,567 หมู่บ้าน จากจำนวนพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วประเทศ 2,370 หมู่บ้าน ซึ่งในปีงบประมาณ 2554 นั้นทางกรมทรัพยากรน้ำได้รับงบประมาณในการดำเนินการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าประจำหมู่บ้านเพิ่มเติมจากที่มีการดำเนินการไปแล้วอีกกว่า 155 ล้านบาท โดยดำเนินการในพื้นที่ 803 หมู่บ้าน 263 สถานีโดยจะเร่งดำเนินการให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
นายวิวัฒน์กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนของจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดพังงานั้นขณะนี้กำลังอยู่ระหว่าการระดมความคิดของของคนในพื้นที่ถึงจุดติดตั้งที่เหมาะสมว่าควรจะติดตั้งที่บริเวณใดซึ่งจากการสำรวจนั้นในส่วนของจังหวัดภูเก็ตมีเป้าหมายในการดำเนินการ 3 สถานี จำนวน 15 จุด ส่วนจังหวัดพังงามีเป้าหมายในการดำเนินการ 10 สถานี 21 จุด ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีความครอบคลุมในพื้นที่แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับพื้นที่เนื่องจากขณะนี้สภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง ฝนตกชุกหน้าแน่นตลอดปีส่งผลให้สภาพดินมีความเปลี่ยนแปลงทางกรมทรัพยากรน้ำจึงได้ทำการสำรวจเพื่อติดตั้งอุปกรณ์แจ้งเตือนภัยล่วงหน้าใหม่ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในปีนี้
หลังจากนั้นจะมีการเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อของบประมาณมาดำเนินการเพิ่มเติมซึ่งไม่ได้ดำเนินการเฉพาะภูเก็ต หรือพังงา แต่จะเป็นการสำรวจใหม่ทั่วทั้งประเทศ เพื่อเป็นการลดความสูญเสียจากเหตุการณ์ อุทกภัยและดินถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย เชื่อว่าถ้าสามารถทำได้ครอบคลุมก็จะช่วยเหลือประชาชนได้มาก
อย่างไรก็ตาม การติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้านั้น ตัวเครื่องจะมีการตรวจวัดปริมาณน้ำฝนและแจ้งไปยังศูนย์ข้อมูลทุก 15 นาที มั่นใจว่าจะสามารถแจ้งเตือนประชาชนให้ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยได้ภายในเวลา 1-3 ชั่วโมง