พัทลุง - ข้าวราคาเปลือกที่พัทลุงพุ่ง ขยับ 1,000 บาท/เกวียน ภายในเวลา 2 สัปดาห์ ระบุกระแสการเมืองพาไป ไม่ใช่ดีมานด์-ซัพพลาย มีการกักตุนข้าวอื้อ รอโครงการรับจำนำ โรงสีข้าว
นายไสว สุวรรณพยัคฆ์ ที่ปรึกษาชมรมโรงสีข้าวจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ขณะนี้จังหวัดพัทลุงได้มีการปลูกข้าวนาปรังเต็มพื้นที่แล้วและสถานการณ์ข้าวขณะนี้ราคาก็ขยับสูงขึ้นมาก โดยเป็นไปตามกระแสของการเมือง ไม่ใช่ดีมานด์ซัพพลาย โดยเพียงในระยะ 2 สัปดาห์ ราคาข้าวสารขนาดกลางได้ขยับขึ้น 2 บาท/ก.ก.จากราคาเดิม 13 บาท เป็น 15 บาท เมื่อเทียบกับข้าวเปลือกแล้ว ราคาได้ขยับขึ้นประมาณ 1,000 บาท/เกวียน เป็นไปตามกระแสการเมืองที่ร้อนแรงเรื่องข้าว จึงมีการกักเก็บตุนข้าวเอาไว้ เมื่อพ่อค้าหาซื้อข้าวไม่ได้ก็มีการขยับราคาขึ้น เหตุที่มีการกักเก็บข้าวเอาไว้เนื่องจากการเมืองมีนโยบายรับจำนำข้าว เพื่อที่จะได้ราคาข้าวที่อยู่ในสต๊อกที่สูงขึ้น
นายไสว ยังกล่าวอีกว่า โครงการรับจำนำข้าวจะเป็นผลดีให้กับโรงสีข้าวมาก เนื่องจากโกดังเก็บข้าวก็จะถูกเช่า และจะมีการว่าจ้างให้มีการสีข้าวตกเกวียนละ 500 บาท และข้าวในสต๊อก ก็ออกจำนำได้ แต่ชาวนาขณะนี้ไม่ได้ประสบภาวะกับขาดทุนแต่อย่างใด แม้ว่าราคาข้าวจะถูกพ่อค้ากดดันให้ราคาต่ำลงก็ตาม เพราะรัฐบาลจะต้องชดเชยให้
"เช่น พ่อค้าซื้อเกวียนละ 7,000 บาท รัฐบาลจะต้องชดเชยให้ 4,000 บาท จากราคาประกัน 11,000 บาท/เกวียน ปัจจัยดังกล่าวนี้จะเป็นการส่งเสริมให้พ่อค้าส่งข้าวออกไปขายในต่างประเทศ ได้ผลประโยชน์อย่างมาก เพราะสามารถขายได้ในราคาต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งขันที่สำคัญ จากปัจจัยนี้ทำให้ผู้ส่งข้าวออกสามารถแข่งขันข้าวในตลาดได้โลกได้ดี และสร้างยอดขายได้ดีด้วย”
นายไสว กล่าวอีกว่า ขณะนี้ไทยจึงสามารถส่งข้าวได้ถึงกว่า 1 ล้านตัน / เดือน จากเดิมที่เคยส่งออกอยู่ที่ 700,000 - 800,000 ตัน เพราะข้าวไทยถูกกว่าประเทศเวียดนาม และคุณภาพข้าวที่ดีกว่า ปัจจัยที่ทำให้ข้าวไทยราคาถูกลง เนื่องจากโครงการประกันราคาข้าว พ่อค้าผู้ส่งออกสามารถกดราคาได้ เพราะชาวนาขายในราคาต่ำก็ไม่ขาดทุน
ในส่วนที่ขาดทุนนั้นรัฐบาลจะชดเชยให้ ในปี 2553 รัฐบาลก็ต้องชดเชยให้หลายหมื่นล้านบาท และในปี 2554 คาดว่ารัฐบาลจะต้องชดเชยให้ไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท และโครงการประกันราคาข้าว รัฐบาลจะต้องมีแนวโน้มว่าเงินชดเชยจะสูงขึ้นตามลำดับ
นายไสว สุวรรณพยัคฆ์ ที่ปรึกษาชมรมโรงสีข้าวจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ขณะนี้จังหวัดพัทลุงได้มีการปลูกข้าวนาปรังเต็มพื้นที่แล้วและสถานการณ์ข้าวขณะนี้ราคาก็ขยับสูงขึ้นมาก โดยเป็นไปตามกระแสของการเมือง ไม่ใช่ดีมานด์ซัพพลาย โดยเพียงในระยะ 2 สัปดาห์ ราคาข้าวสารขนาดกลางได้ขยับขึ้น 2 บาท/ก.ก.จากราคาเดิม 13 บาท เป็น 15 บาท เมื่อเทียบกับข้าวเปลือกแล้ว ราคาได้ขยับขึ้นประมาณ 1,000 บาท/เกวียน เป็นไปตามกระแสการเมืองที่ร้อนแรงเรื่องข้าว จึงมีการกักเก็บตุนข้าวเอาไว้ เมื่อพ่อค้าหาซื้อข้าวไม่ได้ก็มีการขยับราคาขึ้น เหตุที่มีการกักเก็บข้าวเอาไว้เนื่องจากการเมืองมีนโยบายรับจำนำข้าว เพื่อที่จะได้ราคาข้าวที่อยู่ในสต๊อกที่สูงขึ้น
นายไสว ยังกล่าวอีกว่า โครงการรับจำนำข้าวจะเป็นผลดีให้กับโรงสีข้าวมาก เนื่องจากโกดังเก็บข้าวก็จะถูกเช่า และจะมีการว่าจ้างให้มีการสีข้าวตกเกวียนละ 500 บาท และข้าวในสต๊อก ก็ออกจำนำได้ แต่ชาวนาขณะนี้ไม่ได้ประสบภาวะกับขาดทุนแต่อย่างใด แม้ว่าราคาข้าวจะถูกพ่อค้ากดดันให้ราคาต่ำลงก็ตาม เพราะรัฐบาลจะต้องชดเชยให้
"เช่น พ่อค้าซื้อเกวียนละ 7,000 บาท รัฐบาลจะต้องชดเชยให้ 4,000 บาท จากราคาประกัน 11,000 บาท/เกวียน ปัจจัยดังกล่าวนี้จะเป็นการส่งเสริมให้พ่อค้าส่งข้าวออกไปขายในต่างประเทศ ได้ผลประโยชน์อย่างมาก เพราะสามารถขายได้ในราคาต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งขันที่สำคัญ จากปัจจัยนี้ทำให้ผู้ส่งข้าวออกสามารถแข่งขันข้าวในตลาดได้โลกได้ดี และสร้างยอดขายได้ดีด้วย”
นายไสว กล่าวอีกว่า ขณะนี้ไทยจึงสามารถส่งข้าวได้ถึงกว่า 1 ล้านตัน / เดือน จากเดิมที่เคยส่งออกอยู่ที่ 700,000 - 800,000 ตัน เพราะข้าวไทยถูกกว่าประเทศเวียดนาม และคุณภาพข้าวที่ดีกว่า ปัจจัยที่ทำให้ข้าวไทยราคาถูกลง เนื่องจากโครงการประกันราคาข้าว พ่อค้าผู้ส่งออกสามารถกดราคาได้ เพราะชาวนาขายในราคาต่ำก็ไม่ขาดทุน
ในส่วนที่ขาดทุนนั้นรัฐบาลจะชดเชยให้ ในปี 2553 รัฐบาลก็ต้องชดเชยให้หลายหมื่นล้านบาท และในปี 2554 คาดว่ารัฐบาลจะต้องชดเชยให้ไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท และโครงการประกันราคาข้าว รัฐบาลจะต้องมีแนวโน้มว่าเงินชดเชยจะสูงขึ้นตามลำดับ
