นครศรีธรรมราช - “เทพไท เสนพงศ์” โฆษกมาร์ค อัด “ปู-ยิ่งลักษณ์” สร้างภาพขอพบผู้นำกองทัพ ย้ำเสนอตัวเป็นผู้นำประเทศต้องรับการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ชายหญิงเท่ากันโกงได้ทั้งนั้น ท้ายสุดอาจเป็น “นารีขี่ม้าแดงแผลงฤทธิ์”
วันนี้ (6 มิ.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยพยายามสร้างกระแสให้คนวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความเห็นว่าพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรังแกผู้หญิง ในเรื่องนี้ต้องเตือนว่าจะต้องแยกแยะให้ถูกต้องระหว่างเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวม ใครพูดพาดพิงส่วนตัว หรือใช้กำลังเข้าข่มขู่ กดดันนี่คือการรังแก แต่เมื่อมีการเสนอตัวเข้ามาเป็นบุคคลสาธารณะและยิ่งเสนอตัวเป็นผู้นำประเทศดังนั้นในการตรวจสอบพฤติกรรม จุดยืน ข้อกฎหมาย หรือการทุจริตไม่ได้เป็นการรังแกผู้หญิงแต่อย่างใด
“เรื่องเหล่านี้ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงถ้ามีพฤติกรรมของการโกงแล้วเป็นได้ทั้งสองเพศยิ่งมาเป็นนักการเมืองแล้วนั้นต้องมีความพร้อมให้สังคมเข้าตรวจสอบ และในการสอบข้อเท็จจริงถือว่าไม่ใช่การรังแกกฎหมายไม่ได้มีข้อยกเว้นให้ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิงต่างมีความเท่าเทียมกันในทางการเมือง” โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวต่อว่า เช่นเดียวกัน การพูดจาในเรื่องของแผนนารีพิฆาต นารีขี่ม้าขาว เป็นเพียงเรื่องของการประชาสัมพันธ์ในทางการเมืองเช่นสื่อบางสำนักได้ทำเรื่องนี้เชียร์กันอย่างสุดลิ่ม นำภาพมาขึ้นปกติดต่อกัน 3-4 ฉบับ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น ซึ่งเมื่อมาดูกันแล้วแผนนารีพิฆาตจะมีความแตกต่างกับแผนนารีอาฆาตอย่างไร การพูดถึงนารีขี่ม้าขาวมาแก้ปัญหาบ้านเมืองไม่น่าจะเกี่ยวกัน แต่ถ้าเกี่ยวน่าจะเกี่ยวกับนารีขี่ม้าแดงแผลงฤทธิ์มากกว่า
กระแสข่าวขอเข้าพบ ผบ.ทบ.ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงการสร้างภาพกลบเกลื่อนกระแสเพียงถ้าเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลหวังว่าจะได้รับการหนุนจากกองทัพเท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงนั้นกองทัพมีความชัดเจนอยู่แล้วว่าใครก็ได้ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลสามารถทำงานกับกองทัพได้ ที่ต้องการเข้าพบต้องการลบกระแสเท่านั้น ทั้งนี้หากเพื่อไทยไม่ได้เกินครึ่งหวั่นว่าจะไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ อาจต้องการทำตัวเป็นนักปรองดองสมานฉันท์เข้ากันได้กับทุกฝ่าย จึงต้องแสดงบทบาทในการเข้าพบผู้นำกองทัพเท่านั้น
ส่วนการแสดงบทบาททางการเมืองที่ออกมานั้นเป็นการเปิดเผยตัวตนมากขึ้น ทุกอย่างอยู่ในสคริป ใช้ท่องจำเอาดังนั้นปรากฏการณ์แผ่นเสียงตกร่องจึงมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อเปิดประเด็นนิรโทษกรรมออกมาเมื่อถูกตั้งคำถามและรู้ว่าถูกต่อต้าน เรื่องนี้ถูกเปลี่ยนไปเป็นปรองดอง ปากท้อง และไม่ว่าจะถูกตั้งคำถามอย่างไรคำตอบสูตรสำเร็จคือใช้ผลการเลือกตั้งตัดสิน คิดแก้ไขไม่คิดแก้แค้น ข้าวของแพงเป็นคำตอบที่ไม่ตรงคำถาม เป็นการจนตรอกที่จะตอบคำถาม
นายเทพไทกล่าวต่อว่า ยิ่งเมื่อผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องของการดีเบตพูดคุยวิสัยทัศน์กัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ปฏิเสธแต่บ่ายเบี่ยงบอกเพียงว่ารอเวลาเหมาะสมเป็นการตอบคำถามที่ไม่ต้องการให้สังคมพิจารณาว่าคนที่เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีกำลังหนีเวทีเปิดวิสัยทัศน์จุดยืนของตัวเองเกี่ยวกับการบริหาร ทั้งที่เป็นสิทธิของคนไทยที่จะพิจารณาว่าจะเลือกผู้นำประเทศอย่างไร
นายเทพไท เสนพงศ์ กล่าวถึงแผนบันได 4 ขั้นว่า ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เป็นแผนที่สร้างขึ้นใหม่หรือเป็นแผนที่พรรคเพื่อไทยวางไว้หรือไม่ แต่ถ้าเป็นจริงถือว่าเป็นแผนของการให้การช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนคนเดียวจริงๆ ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์อำนาจซ่อนเร้นของพรรคเพื่อไทยที่ไม่กล้าเปิดเผยต่อสังคม ในเรื่องของแผน 4 ขั้นพรรคเพื่อไทยนั้นไม่แน่ใจว่าจะก้าวเดืนไปได้ถึงขั้นสุดท้ายหรือไม่ อาจไปไม่ถึงขั้นนั้นแผนนี้อาจตกบันไดเพียงแค่ขั้นที่ 2 หัวคะมำลงมาก็เป็นได้
วันนี้ (6 มิ.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยพยายามสร้างกระแสให้คนวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความเห็นว่าพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรังแกผู้หญิง ในเรื่องนี้ต้องเตือนว่าจะต้องแยกแยะให้ถูกต้องระหว่างเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวม ใครพูดพาดพิงส่วนตัว หรือใช้กำลังเข้าข่มขู่ กดดันนี่คือการรังแก แต่เมื่อมีการเสนอตัวเข้ามาเป็นบุคคลสาธารณะและยิ่งเสนอตัวเป็นผู้นำประเทศดังนั้นในการตรวจสอบพฤติกรรม จุดยืน ข้อกฎหมาย หรือการทุจริตไม่ได้เป็นการรังแกผู้หญิงแต่อย่างใด
“เรื่องเหล่านี้ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงถ้ามีพฤติกรรมของการโกงแล้วเป็นได้ทั้งสองเพศยิ่งมาเป็นนักการเมืองแล้วนั้นต้องมีความพร้อมให้สังคมเข้าตรวจสอบ และในการสอบข้อเท็จจริงถือว่าไม่ใช่การรังแกกฎหมายไม่ได้มีข้อยกเว้นให้ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิงต่างมีความเท่าเทียมกันในทางการเมือง” โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวต่อว่า เช่นเดียวกัน การพูดจาในเรื่องของแผนนารีพิฆาต นารีขี่ม้าขาว เป็นเพียงเรื่องของการประชาสัมพันธ์ในทางการเมืองเช่นสื่อบางสำนักได้ทำเรื่องนี้เชียร์กันอย่างสุดลิ่ม นำภาพมาขึ้นปกติดต่อกัน 3-4 ฉบับ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น ซึ่งเมื่อมาดูกันแล้วแผนนารีพิฆาตจะมีความแตกต่างกับแผนนารีอาฆาตอย่างไร การพูดถึงนารีขี่ม้าขาวมาแก้ปัญหาบ้านเมืองไม่น่าจะเกี่ยวกัน แต่ถ้าเกี่ยวน่าจะเกี่ยวกับนารีขี่ม้าแดงแผลงฤทธิ์มากกว่า
กระแสข่าวขอเข้าพบ ผบ.ทบ.ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงการสร้างภาพกลบเกลื่อนกระแสเพียงถ้าเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลหวังว่าจะได้รับการหนุนจากกองทัพเท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงนั้นกองทัพมีความชัดเจนอยู่แล้วว่าใครก็ได้ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลสามารถทำงานกับกองทัพได้ ที่ต้องการเข้าพบต้องการลบกระแสเท่านั้น ทั้งนี้หากเพื่อไทยไม่ได้เกินครึ่งหวั่นว่าจะไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ อาจต้องการทำตัวเป็นนักปรองดองสมานฉันท์เข้ากันได้กับทุกฝ่าย จึงต้องแสดงบทบาทในการเข้าพบผู้นำกองทัพเท่านั้น
ส่วนการแสดงบทบาททางการเมืองที่ออกมานั้นเป็นการเปิดเผยตัวตนมากขึ้น ทุกอย่างอยู่ในสคริป ใช้ท่องจำเอาดังนั้นปรากฏการณ์แผ่นเสียงตกร่องจึงมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อเปิดประเด็นนิรโทษกรรมออกมาเมื่อถูกตั้งคำถามและรู้ว่าถูกต่อต้าน เรื่องนี้ถูกเปลี่ยนไปเป็นปรองดอง ปากท้อง และไม่ว่าจะถูกตั้งคำถามอย่างไรคำตอบสูตรสำเร็จคือใช้ผลการเลือกตั้งตัดสิน คิดแก้ไขไม่คิดแก้แค้น ข้าวของแพงเป็นคำตอบที่ไม่ตรงคำถาม เป็นการจนตรอกที่จะตอบคำถาม
นายเทพไทกล่าวต่อว่า ยิ่งเมื่อผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องของการดีเบตพูดคุยวิสัยทัศน์กัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ปฏิเสธแต่บ่ายเบี่ยงบอกเพียงว่ารอเวลาเหมาะสมเป็นการตอบคำถามที่ไม่ต้องการให้สังคมพิจารณาว่าคนที่เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีกำลังหนีเวทีเปิดวิสัยทัศน์จุดยืนของตัวเองเกี่ยวกับการบริหาร ทั้งที่เป็นสิทธิของคนไทยที่จะพิจารณาว่าจะเลือกผู้นำประเทศอย่างไร
นายเทพไท เสนพงศ์ กล่าวถึงแผนบันได 4 ขั้นว่า ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เป็นแผนที่สร้างขึ้นใหม่หรือเป็นแผนที่พรรคเพื่อไทยวางไว้หรือไม่ แต่ถ้าเป็นจริงถือว่าเป็นแผนของการให้การช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนคนเดียวจริงๆ ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์อำนาจซ่อนเร้นของพรรคเพื่อไทยที่ไม่กล้าเปิดเผยต่อสังคม ในเรื่องของแผน 4 ขั้นพรรคเพื่อไทยนั้นไม่แน่ใจว่าจะก้าวเดืนไปได้ถึงขั้นสุดท้ายหรือไม่ อาจไปไม่ถึงขั้นนั้นแผนนี้อาจตกบันไดเพียงแค่ขั้นที่ 2 หัวคะมำลงมาก็เป็นได้