นายกฯเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สุราษฎร์ฯ-คาดวันจันทร์นี้จ่ายน้ำประปาได้

สุราษฎร์ธานี-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมกดปุ่มปล่อยน้ำประปา คาดวันจันทร์นี้จะจ่ายน้ำได้เต็มระบบ หลังงดจ่ายมาแล้ว 10 วัน ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่รอบนอกยังน่าห่วง



เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (9 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม และตรวจระบบการผลิตน้ำประปา ที่โรงสูบน้ำบ้านตลิ่งชัน อ.พุนพิน พร้อมกับกดปุ่มเดินเครื่องผลิตน้ำประปา ซึ่งคาวว่าในวันจันทร์นี้จะสามารถจ่ายน้ำประปาได้เต็มระบบ

หลังจากนั้น นายอภิสิทธิ์ ได้เดินทางมาเยี่ยมผู้ประสบภัยที่เขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี พร้อมมอบน้ำดื่มที่บรรจุถังแกลลอนจำนวน 20 ลิตรให้กับผู้ประสบภัย จำนวน 83 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้กำชับให้ที่ผู้ได้รับถังบรรจุน้ำไปให้นำถังกลับส่งคืนด้วย

ในขณะที่หลายหน่วยงานเร่งนำรถผลิตน้ำดื่มมาบริการประชาชนในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย รถผลิตน้ำดื่มจากหน่วยบัญชาการ ทหารพัฒนา กองทัพไทยที่นำโดยพันเอกนพดล สุขทับศรี ผู้บังคับหน่วยทหารพัฒนาเคลื่อนที่ 46 สุราษฎร์ธานี ที่นำรถที่มีการกำลังผลิตน้ำดื่ม 1,500 ลิตร/ชม. ผลิตน้ำประปา 11,430 ลิตร/ ชม.และรถผลิตน้ำดื่มจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมทั้งเครื่องผลิตน้ำประปาจากกองทหารช่าง กองทัพภาค 2 จังหวัดนครราชสีมา

พ.ต.อ.สมพล รัตกาญจน์ นายกสมาคมชาวสงขลาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับสมาคมชาวพัทลุงสุราษฎร์ธานีและศิษย์เก่าช่างไฟฟ้าวิทยาลัยเทคนิค เปิดศูนย์รับบริจาควัสดุเครื่องก่อสร้างทุกชนิดเพื่อนำไปช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนผู้ประสบภัย โดยทำการเปิดศูนย์รับบริจาคที่ โรงเรียนอนุบาลอรุโณทัยเทศบาลเมืองท่าข้าม อำเภอพุนพิน ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081-2712341 081-396416 08894725939

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเริ่มคลี่คลาย แต่บ้านเรือนประชาชนรอบนอกที่อยู่ริม 2 ฝั่งแม่น้ำตาปี ตั้งแต่อำเภอบ้านนาสาร บ้านนาเดิม พุนพิน และอำเภอเมือง บางส่วนยังจมอยู่ใต้น้ำระดับตั้งแต่ 80 เซนติเมตรไปจนเกือบถึง 2 เมตร

ด้านนายโชตินรินทร์ เกิดสม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้สรุปสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีได้รับผลกระทบ 19 อำเภอ 128 ตำบล 1,067หมู่บ้าน ราษฎรเดื่อดร้อน จำนวน 139,546 ครัวเรือน 506,228 คน เสียชีวิต 12 ราย ปศุสัตว์ 1,486,909 ตัว พื้นที่การเกษตรเสียหายประมาณ 377,902 ไร่ บ่อปลา 1,657 บ่อ ถนน639 สาย สะพาน/คอสะพาน 131 แห่ง ท่อระบายน้ำ 153 แห่ง วัด 92 แห่ง โรงเรียน 153 แห่ง โรงพยาบาล 67 แห่ง มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 4,120 ล้านบาท