ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 สั่งกวาดล้างผู้ค้ายาที่มีหมายจับเครือข่ายเงิน 10 ล้าน พร้อมตรวจสอบเครือข่ายค้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ปักหลักกวาดซื้อที่ดิน และทำธุรกิจในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.เผยยาล็อตใหญ่ถูกส่งเข้าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว จึงมีการเคลื่อนย้ายเงินสดด้วยรถยนต์แทนการทำธุรกรรมผ่านธนาคาร
วันนี้ (11 มี.ค.) พล.ต.ท.วีรยุทธ สิทธิมาลิก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีตำรวจยึดเงินสดของขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 7 ล้านบาท จากรถขนเงินที่ประสบอุบัติแหตุในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา ก่อนที่จะขยายผลเข้าจับกุม นายไซนูดีน ม๊ะ อายุ 33 ปี เจ้าของเงิน และ นายยูโส๊ป หมันเบ็ญหมัด 35 ปี ลูกน้องที่ไปติดต่อขอรับเงินที่โรงพัก พร้อมยึดเงินสดอีก 3 ล้านบาท และทรัพย์สินต่างๆ อีกกว่า 20 ล้านบาท ส่วน นายมูฮัมหมัด หะยีบากา คนขับรถยังอยู่ระหว่างการหลบหนี
โดย พล.ต.ท.วีรยุทธ ระบุว่า จากข้อมูลของขบวนการค้ายาเสพติดแก๊งนี้ เป็นเครือข่ายใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีฐานใหญ่อยู่ที่ จ.ปัตตานี โดยหนึ่งในตัวการใหญ่ คือ พ่อของ นายไซนูดีน ซึ่งมีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์ผู้ค้ายา และเจ้าหน้าที่ได้ติดตามพฤติกรรมมาตลอด แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะจับกุมเอาผิด ทั้งนี้ เนื่องจากการทำงานของเครือข่ายนี้จะอาศัยเครือญาติ และผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ในแบลค์ลิสเข้ามาร่วมทำงาน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ตำรวจเร่งติดตามจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดกลุ่มนี้โดยที่มีหมายจับติดตัว
พล.ต.ท.วีรยุทธ กล่าวว่า ยังได้สั่งการให้ตำรวจจับตา และตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบุคคลต้องสงสัยที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้เข้ามาทำธุรกิจอยู่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ หรือกว้านซื้อที่ดินรวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ที่มีราคาแพง เพราะเป็นไปได้ว่าเป็นการฟอกเงินจากการค้ายาเสพติด รวมทั้งเข้ามาตั้งฐานขยายเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ เพื่อไม่ให้ถูกเจ้าหน้าที่จับตา
ด้าน นายสงคราม ขำต้นวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 9 เปิดเผยว่า เงินสดจำนวน 10 ล้านบาท ที่เจ้าหน้าที่ยึดได้จากแก๊งค้ายาแก๊งนี้ เป็นไปได้ว่าเป็นเงินที่ได้จากการจำหน่ายยาเสพติดล็อตใหญ่ที่ถูกส่งเข้าไปยังพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว และเตรียมขนเงินสดทั้งหมดมาให้กับหัวหน้าทีม คือ นายไซนูดีน ที่ถูกจับกุมไปแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากระยะหลังเส้นทางการเดินเงินของขบวนการค้ายาเสพติดจะเปลี่ยนไปจากเดิม คือ จะใช้วิธีขนเงินสดด้วยรถยนต์ แทนการทำธุรกรรมผ่านธนาคารซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบเส้นทางทางการเงินได้ง่ายกว่า
วันนี้ (11 มี.ค.) พล.ต.ท.วีรยุทธ สิทธิมาลิก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีตำรวจยึดเงินสดของขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 7 ล้านบาท จากรถขนเงินที่ประสบอุบัติแหตุในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา ก่อนที่จะขยายผลเข้าจับกุม นายไซนูดีน ม๊ะ อายุ 33 ปี เจ้าของเงิน และ นายยูโส๊ป หมันเบ็ญหมัด 35 ปี ลูกน้องที่ไปติดต่อขอรับเงินที่โรงพัก พร้อมยึดเงินสดอีก 3 ล้านบาท และทรัพย์สินต่างๆ อีกกว่า 20 ล้านบาท ส่วน นายมูฮัมหมัด หะยีบากา คนขับรถยังอยู่ระหว่างการหลบหนี
โดย พล.ต.ท.วีรยุทธ ระบุว่า จากข้อมูลของขบวนการค้ายาเสพติดแก๊งนี้ เป็นเครือข่ายใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีฐานใหญ่อยู่ที่ จ.ปัตตานี โดยหนึ่งในตัวการใหญ่ คือ พ่อของ นายไซนูดีน ซึ่งมีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์ผู้ค้ายา และเจ้าหน้าที่ได้ติดตามพฤติกรรมมาตลอด แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะจับกุมเอาผิด ทั้งนี้ เนื่องจากการทำงานของเครือข่ายนี้จะอาศัยเครือญาติ และผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ในแบลค์ลิสเข้ามาร่วมทำงาน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ตำรวจเร่งติดตามจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดกลุ่มนี้โดยที่มีหมายจับติดตัว
พล.ต.ท.วีรยุทธ กล่าวว่า ยังได้สั่งการให้ตำรวจจับตา และตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบุคคลต้องสงสัยที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้เข้ามาทำธุรกิจอยู่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ หรือกว้านซื้อที่ดินรวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ที่มีราคาแพง เพราะเป็นไปได้ว่าเป็นการฟอกเงินจากการค้ายาเสพติด รวมทั้งเข้ามาตั้งฐานขยายเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ เพื่อไม่ให้ถูกเจ้าหน้าที่จับตา
ด้าน นายสงคราม ขำต้นวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 9 เปิดเผยว่า เงินสดจำนวน 10 ล้านบาท ที่เจ้าหน้าที่ยึดได้จากแก๊งค้ายาแก๊งนี้ เป็นไปได้ว่าเป็นเงินที่ได้จากการจำหน่ายยาเสพติดล็อตใหญ่ที่ถูกส่งเข้าไปยังพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว และเตรียมขนเงินสดทั้งหมดมาให้กับหัวหน้าทีม คือ นายไซนูดีน ที่ถูกจับกุมไปแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากระยะหลังเส้นทางการเดินเงินของขบวนการค้ายาเสพติดจะเปลี่ยนไปจากเดิม คือ จะใช้วิธีขนเงินสดด้วยรถยนต์ แทนการทำธุรกรรมผ่านธนาคารซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบเส้นทางทางการเงินได้ง่ายกว่า
