ศูนย์ข่าวภูเก็ต -นักวิชาการชี้วิกฤตเต่ามะเฟือง ไม่เกิน 100 ปีอาจสูญพันธุ์จากทะเลไทย พบตัวผู้น้อยลง ส่วนการผ่าซากเต่ามะเฟืองเกยตื้นที่ภูเก็ต คาดสาเหตุการตายเกิดจากการกินถุงพลาสติกเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแมงกะพรุน
วันนี้ (4 มี.ค.) สัตว์แพทย์พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน เร่งผ่าพิสูจน์ซากเต่ามะเฟืองขนาดใหญ่ที่ลอยขึ้นมาเกยตื้น บริเวณป่าชายเลน ชายหาดคลองท่าจีนซอยโหนทรายทอง หมู่ที่ 3 ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อหาสาเหตุการตายของเต่าทะเลดังกล่าว ซึ่งจากการผ่าพิสูจน์พบว่า ภายในลำไส้เล็กพบถุงพลาสติกจำนวน 6 ชิ้น นอกจากนั้น ยังมีซากแมงกะพรุนในหลอดอาหารบริเวณลำคอ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุการตายในครั้งนี้
สัตว์แพทย์หญิง พัชราภรณ์ แก้วโม่ง นายแพทย์ประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งทะเล และป่าชายเลนจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เต่ามะเฟืองตัวดังกล่าวเป็นเต่ามะเฟืองเพศผู้ และสาเหตุที่ทำให้เต่ามะเฟืองตาย น่าจะเกิดจากการกินถุงพลาสติกเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นแมงกะพรุน เมือถุงพลาสติกลงไปถึงลำใส้เล็กทำให้เกิดการบีบตัว อาหารไม่สามารถลำเลียงผ่านลำไส้ลงไปในกระเพาะอาหารได้ และที่ลำคอยังพบมีแมงกะพรุนติดอยู่จำนวนมาก ขณะที่การตรวจร่ายกายอื่นๆไม่พบบาดแผลแต่อย่างใด
ด้านนายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงค์ หัวหน้ากลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงสถานการณ์เต่ามะเฟืองว่า ขณะนี้สถานการณ์ของเต่ามะเฟืองอยู่ในขั้นวิกฤต ซึ่งคาดว่าในระยะเวลา 100 ปีหลังจากนี้เต่ามะเฟืองอาจมีการสูญพันธุ์ เพราะจากเดิมที่มีการวางไข่ ปีละ 400-500 รัง พบว่าการวางไข่ของเต่าทะเลลดลงอย่างรวดเร็ว เปรียบเทียบสัดส่วนคือลดลง 3 ใน 4 ของจำนวนการวางไข่
ปีที่ผ่านมาพบว่าในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตมีเต่าขึ้นวางไข่ไม่ถึง 10 รัง และทั้งหมดไม่มีการฟักตัวเนื่องจากขาดการผสมน้ำเชื้อของตัวผู้ สำหรับในปีนี้ยังไม่พบการขึ้นมาวางไข่ของเต่ามะเฟือง ขณะเดียวกันพบว่าเต่าเพศผู้กำลังขาดแคลน มีจำนวนลดลงมาก
สำหรับเต่ามะเฟือง เป็นเต่าที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกกินแมงกะพรุนเป็นอาหารหลัก ทำให้บางครั้งเมื่อเข้ามาหากินในบริเวณน้ำตื้น อาจพบเข้ากับถุงพลาสติกและคิดว่าเป็นแมงกะพรุน จึงทำให้เป็นสาเหตุหลักของการตายที่พบบ่อยที่สุด
