ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “คุณหญิงกษมา” ร่วมล้อมวงเสวนากับหน่วยงานและองค์กรด้านการศึกษาที่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมประกาศสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมจัดการศึกษาที่ “โรงเรียนวัดท่าสะท้อน” ใน อ.ชะอวด ด้านรองเลขาธิการ กพฐ.ประกาศหนุนโรงเรียนขนาดเล็ก โดยมีข้อเสนอชัดเจนว่า สพฐ.จะต้องเข้าไปสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน โดยไม่ยุบโรงเรียน เพราะเป็นความต้องการของชุมชนที่จะเปิดการเรียนการสอนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยงานและองค์กรที่ดำเนินงานด้านการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ใน จ.นครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันเปิดเวทีเสวนาเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยมีหน่วยงานด้านการศึกษาเข้าร่วมจำนวนมาก และหนึ่งในผู้เข้าร่วมวันนั้นมี คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ประธานคณะอนุกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ด้านการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ รวมอยู่ด้วย
คุณหญิงกษมา เปิดเผยภายหลังจากร่วมเสวนาโต๊ะกลม ถึงกรณีการจัดการศึกษาของโรงเรียนวัดท่าสะท้อน อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราชว่า ที่มีการทวงถามจากครูอาสาและผู้ปกครอง ถึงกรณีจะมีการยุติการเรียนการสอน และจะมีการขนย้ายนักเรียนออกไปเรียนที่อื่นๆ รวมถึงความร่วมมือจากภาครัฐกับชุมชน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนนั้น เรื่องนี้อยากจะคุยในรายละเอียดกับผู้เกี่ยวข้องก่อน เพราะยังไม่ทราบชัดเจนว่าปัญหาเป็นมาอย่างไร
คุณหญิงกษมา กล่าวว่า ขอยืนยันว่านโยบายอย่างหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ คือ โรงเรียนเล็กต้องบริหารให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งถ้าชุมชนสามารถมาส่งเสริมและมีส่วนร่วมได้ ตนเองก็คิดว่าการดำเนินการของโรงเรียนวัดท่าสะท้อน อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ก็ไม่น่ามีปัญหา
“ดิฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทางชุมชนต้องการคืออะไร กรณีโรงเรียนวัดท่าสะท้อนนี่ ดิฉันก็หวังว่าจะได้คุยกัน ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสได้คุยกันเมื่อไร ทราบเพียงคร่าวๆ ว่าเขายังอยากที่จะดำรงอยู่ โดยชุมชนจะยื่นมือเข้ามา แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าสิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคในการดำเนินการต่อไป มันเป็นเพราะว่าความต้องการมันไม่ตรงกันหรืออย่างไร แต่คิดว่าเป็นโชคดีสำหรับโรงเรียนที่ชุมชนยื่นมือเข้ามา และน่าจะได้มาพูดคุยกัน เพราะเห็นประโยชน์ของเด็กเป็นหลัก”
นายวัชระ เกตุชู ครูอาสาโรงเรียนวัดท่าสะท้อน อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า หลังจากที่คุณหญิงกษมาประกาศผ่านสื่อว่าอยากพูดคุยกับชุมชนท่าสะท้อน สอบถามถึงกรณีปัญหาของโรงเรียนวัดท่าสะท้อน ตนก็ได้มีการประสานงานมายังตัวแทนชุมชนและครูอาสาเข้าร่วมพูดคุย และนำเสนอสถานการณ์ความคืบหน้า และความเป็นไปของโรงเรียนวัดท่าสะท้อนแล้ว
ทั้งนี้ หลังจากการพูดคุยกับคุณหญิงกษมาก็ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า น่าจะมีการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาร่วมกัน เพื่อพัฒนาศักยภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนวัดท่าสะท้อนให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในส่วนของชุมชนเองก็มีความพร้อมที่จะสนับสนุน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและศักยภาพของโรงเรียนและของนักเรียนอยู่แล้ว และหาก สพฐ.สนใจจะเข้ามาหนุนเสริม เพื่อพัฒนาศักยภาพของโรงเรียนและนักเรียนให้มากขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะส่งผลบวกแก่นักเรียน ซึ่งเป็นลูกหลานของคนในชุมชนให้ได้พัฒนาศักยภาพมากขึ้นมากเดิม
ด้านนายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ซึ่งเป็นอนุกรรมการทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การนำร่องขับเคลื่อนนโยบาย ด้านการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและเรียนรู้ไปสู่การปฏิบัติ พร้อมคณะทำงาน สพฐ.กล่าวถึงกรณีโรงเรียนวัดท่าสะท้อนว่า โรงเรียนแห่งนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายของโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งยังไม่ผ่านการรับรองคุณภาพของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. ซึ่งเป็นเรื่องที่ สพฐ.จะต้องเข้าไปสนับสนุนด้านคุณภาพการศึกษาและหลักสูตรการเรียนการสอน
“จากการคุยกับผู้ปกครองและครูของโรงเรียนวัดท่าสะท้อน ได้มีข้อสรุปชัดเจนในระดับหนึ่ง โดยมีข้อเสนอชัดเจนว่า สพฐ.จะต้องเข้าไปสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะคุณภาพและมาตรฐานของโรงเรียนวัดท่าสะท้อน ส่วนประเด็นการยุบหรือไม่ยุบโรงเรียนนั้น มันพ้นประเด็นนี้ไปแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหา เพราะเป็นความต้องการของชุมชนที่จะเปิดการเรียนการสอนต่อไป การแก้ปัญหาของโรงเรียนวัดท่าสะท้อนในขณะนี้จึงควรพูดถึงเรื่องเด็กเป็นสำคัญ” นายสมเกียรติกล่าวและเสริมว่า
สำหรับโรงเรียนวัดท่าสะท้อนสามารถยกระดับเป็นศูนย์การเรียนรู้ได้ เหมือนเช่นที่โรงเรียนรุ่งอรุณ หรือโรงเรียนในที่อื่นๆ ซึ่งต้องประเมินกันในระดับต่อไปว่า มีความพร้อมมากแค่ไหน ส่วนประเด็นเรื่องความพร้อมของครูหรือบุคคลากรเป็นเรื่องที่ทางเราต้องช่วยกัน ทั้งในส่วนหน่วยงานภาครัฐ ชาวบ้านชุมชนในพื้นที่และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องเข้ามาร่วมกันทำงาน ทุกคนทำงานไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือ เห็นความสำคัญของเด็กมากที่สุด
