นครศรีธรรมราช - ตำรวจทางหลวงรวบ 2 ผู้ต้องหา ลับลอบขนยาบ้า 1,949 เม็ด โดยจาการสอบสวน ยอมรับว่า มีผู้ต้องหาสั่งจากคุกนครศรีธรรมราชอีกทีหนึ่ง เพื่อเอาของจากอีกที่หนึ่งไปส่งให้ลูกค้า
วันนี้ (29 ม.ค.) ที่สถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 7 (ส.ทล.4 กก.7) นครศรีธรรมราช พ.ต.ท.บรรพต เดชมา สว.ส.ทล.4 กก.7 พร้อมด้วย ร.ต.อ.ไพโรจน์ เมืองสุวรรณ รอง สว.ได้แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติดจำนวน 2 ราย คือ นายครรชิต ใจอารีย์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 16 ม.10 ต.ทุ่งปรัง อ.สิชล และ นายยุทธศักดิ์ แก้วรอด อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21 ม.3 ต.เทพราช อ.สิชล นครศรีธรรมราช พร้อมของกลางยาบ้า 1,949 เม็ด, เงินสด 14,040 บาท, รถยนต์ฮอนด้า รุ่นซีวิค ทะเบียน กท 7336 สุราษฎร์ธานี และโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง
พ.ต.ท.บรรพต เปิดเผยว่า ทั้งนี้ เมื่อคืนที่ผ่านมาตำรวจทางหลวงได้ตั้งจุดตรวจที่บริเวณถนนสายนาพรุ-เบญจมะ ม.3 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง นครศรีธรรมราช และได้มีผู้ต้องหาทั้ง 2 ขับขี่รถเก๋งคันดังกล่าวผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงเรียกตรวจสอบ ซึ่งตอนแรกพบว่านายครรชิตผู้ขับขี่รถนั้นไม่มีใบขับขี่จึงทำการเขียนใบสั่งปรับ
ขณะที่กำลังอีกส่วนหนึ่งเฝ้าสังเกตการอยู่ที่รถ แต่ นายยุทธศักดิ์ แสดงท่าทางพิรุธ และได้โยนสิ่งของทิ้ง เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบพบว่า เป็นยาบ้าบรรจุในถุงสีฟ้า จำนวน 10 ถุง รวม 1,949 เม็ด จึงทำการจับกุมผู้ต้องหามาสอบสวน
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้ให้การว่า ได้รับคำสั่งจากผู้ต้องขังคนหนึ่งชื่อ นายประสิทธิ์ สุพรรณพงศ์ ผู้ต้องขังคดีค้ายาเสพติด ต้องโทษจำคุก 50 ปี อยู่ในเรือนจำหกลางนครศรีธรรมราช โทรศัพท์มาบอกให้ไปรับยาเสพติดจากผู้ค้าคนหนึ่งพื้นที่ ต.เขาโร อ.ทุ่งสง นครศรีธรรมราช ส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ อ.สิชล ในราคาถุงละ 35,000 บาท โดยยาบ้าดังกล่าวนั้นเป็นของผู้ต้องขังอีกคนชื่อเล่นนายโอ๊ต ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง หลังจากไปรับยาบ้ามาแล้วก็นำมาส่งให้กับลูกค้า ก่อนมาเจอด่านตรวจและโดนจับกุมดังกล่าว
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 2 นั้นเป็นผู้ค้ายาบ้ารายใหญ่ในเขตพื้นที่ อ.สิชล โดย นายครรชิต นั้นเป็นญาติของผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในพื้นที่ และเป็นเครือข่ายแก๊งค้ายาเสพติด ซึ่งวิธีการสั่งซื้อยาเสพติดแต่ละครั้งจะสั่งทางโทรศัพท์มือถือโดยการโอนเงินให้ผู้ค้าก่อน หลังจากนั้นก็จะไปรับยาบ้าจากเครือข่ายแล้วนำไปส่งให้กับลูกค้า แต่ดวงซวยมาโดนจับกุมในที่สุด อย่างไรก็ตามโทรศัพท์มือถือนั้นมีเกลื่อนในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ทำให้การสะดวกในการประสานงานกับเครือข่ายภายนอก ซึ่งตำรวจเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่เรือนจำรู้เห็นด้วย
วันนี้ (29 ม.ค.) ที่สถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 7 (ส.ทล.4 กก.7) นครศรีธรรมราช พ.ต.ท.บรรพต เดชมา สว.ส.ทล.4 กก.7 พร้อมด้วย ร.ต.อ.ไพโรจน์ เมืองสุวรรณ รอง สว.ได้แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติดจำนวน 2 ราย คือ นายครรชิต ใจอารีย์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 16 ม.10 ต.ทุ่งปรัง อ.สิชล และ นายยุทธศักดิ์ แก้วรอด อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21 ม.3 ต.เทพราช อ.สิชล นครศรีธรรมราช พร้อมของกลางยาบ้า 1,949 เม็ด, เงินสด 14,040 บาท, รถยนต์ฮอนด้า รุ่นซีวิค ทะเบียน กท 7336 สุราษฎร์ธานี และโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง
พ.ต.ท.บรรพต เปิดเผยว่า ทั้งนี้ เมื่อคืนที่ผ่านมาตำรวจทางหลวงได้ตั้งจุดตรวจที่บริเวณถนนสายนาพรุ-เบญจมะ ม.3 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง นครศรีธรรมราช และได้มีผู้ต้องหาทั้ง 2 ขับขี่รถเก๋งคันดังกล่าวผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงเรียกตรวจสอบ ซึ่งตอนแรกพบว่านายครรชิตผู้ขับขี่รถนั้นไม่มีใบขับขี่จึงทำการเขียนใบสั่งปรับ
ขณะที่กำลังอีกส่วนหนึ่งเฝ้าสังเกตการอยู่ที่รถ แต่ นายยุทธศักดิ์ แสดงท่าทางพิรุธ และได้โยนสิ่งของทิ้ง เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบพบว่า เป็นยาบ้าบรรจุในถุงสีฟ้า จำนวน 10 ถุง รวม 1,949 เม็ด จึงทำการจับกุมผู้ต้องหามาสอบสวน
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้ให้การว่า ได้รับคำสั่งจากผู้ต้องขังคนหนึ่งชื่อ นายประสิทธิ์ สุพรรณพงศ์ ผู้ต้องขังคดีค้ายาเสพติด ต้องโทษจำคุก 50 ปี อยู่ในเรือนจำหกลางนครศรีธรรมราช โทรศัพท์มาบอกให้ไปรับยาเสพติดจากผู้ค้าคนหนึ่งพื้นที่ ต.เขาโร อ.ทุ่งสง นครศรีธรรมราช ส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ อ.สิชล ในราคาถุงละ 35,000 บาท โดยยาบ้าดังกล่าวนั้นเป็นของผู้ต้องขังอีกคนชื่อเล่นนายโอ๊ต ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง หลังจากไปรับยาบ้ามาแล้วก็นำมาส่งให้กับลูกค้า ก่อนมาเจอด่านตรวจและโดนจับกุมดังกล่าว
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 2 นั้นเป็นผู้ค้ายาบ้ารายใหญ่ในเขตพื้นที่ อ.สิชล โดย นายครรชิต นั้นเป็นญาติของผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในพื้นที่ และเป็นเครือข่ายแก๊งค้ายาเสพติด ซึ่งวิธีการสั่งซื้อยาเสพติดแต่ละครั้งจะสั่งทางโทรศัพท์มือถือโดยการโอนเงินให้ผู้ค้าก่อน หลังจากนั้นก็จะไปรับยาบ้าจากเครือข่ายแล้วนำไปส่งให้กับลูกค้า แต่ดวงซวยมาโดนจับกุมในที่สุด อย่างไรก็ตามโทรศัพท์มือถือนั้นมีเกลื่อนในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ทำให้การสะดวกในการประสานงานกับเครือข่ายภายนอก ซึ่งตำรวจเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่เรือนจำรู้เห็นด้วย
