กระบี่ - รมต.สาทิตย์ เปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทต.คลองพน กระบี่ พร้อมโปรยยาหอม ในปี 54 ทุก อปท.ทั่วประเทศ จะมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กครบ 100 เปอร์เซ็นต์
วันนี้ (14 ม.ค.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลคลองพล อ.คลองท่อม จ.กระบี่ โดยมีนายอุเทน ตัณตรีบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วย นายสุปรารถน์ ลิ่มนา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลคลองพล อ.คลองท่อม นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.ปชป.กระบี่ และชาวเทศบาลตำบลคลองพลให้การต้อนรับ
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 19,000 แห่ง แต่ยังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกว่า 481 แห่ง ยังไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก รัฐบาลประกาศว่าในปี 2554 นี้ รัฐบาลจะให้มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ในทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้างซึ่งจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลจะออกมาตรการขอให้ภาคเอกชนบริจาคสร้างศูนย์เด็กเล็ก โดยใครที่บริจาคจะให้หักลดหย่อนภาษีเท่าจำนวนที่สร้างไป เพื่อเป็นการจูงใจให้ภาคเอกชน รวมถึงบริษัทที่มีเงินมาสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าการปฎิรูปประเทศไทยจะเดินหน้าได้ เด็กไทยต้องฉลาด ซึ่งปัจจุบันเด็กอนุบาล 1-ม.6 มีโครงการเรียนฟรี 15ปี อย่างมีคุณภาพ ซึ่งเด็กได้อยู่ทุกปีอยู่แล้วโดยรัฐบาลใช้งบประมาณในส่วนนี้ปีละประมาณ 3 หมื่นกล่าล้านบาท
แต่พบความจริงว่าเด็กตั้งแต่แม่ท้องจนถึง 2 ขวบ ก่อนเข้าศูนย์เด็กเล็กยังไม่มีมาตรการที่ดูแลที่ชัดเจน เพราะฉะนั้น ในแผนปฎิรูปประเทศไทยเรื่องแรก รัฐบาลจะให้ผู้หญิงที่ท้องทุกคน ตั้งแต่กลางปี 54 เป็นต้นไป ที่ไปลงทะเบียนกับโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบล หรือสถานีอนามัย ได้อาหารเสริมฟรีจากรัฐบาลทุกคน จนกระทั่งเกิด และเมื่อเกิดจนถึง 2 ปี แม่จะได้รับอาหารเสริมจากรัฐบาล 6 เดือน และแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมของตังเอง เนื่องจากในปัจจุบันมีแม่เพียง 1 ใน 4 ที่เลี้ยงลูกด้วยนมของตัวเอง นอกนั้นใช้นมกระป๋อง และใครเลี้ยงลูกด้วยนมแม่รัฐบาลก็จะมีรางวัลพิเศษ ให้กับแม่เพื่อเป็นการจูงใจ ซึ่งเริ่มดำเนินการกลางปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนปฎิรูปประเทศไทยของรัฐบาล
นอกจากนี้ยังรวมถึงลูกของงานที่อยู่ตามไซต์งานก่อสร้าง ซึ่งรัฐบาลจะเข้าไปดูแลจัดการให้ได้มีการเรียนที่ดีอย่างมีคุณภาพ ส่วนเด็กที่ถูกควบคุมอยู่ในสถานพินิจ เมื่อถูกปล่อยตัวออกมามีเพียงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีการเรียนต่อ และ 70 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เรียนต่อ ซึ่งเด็กจำนวนนี้ล่อแหลมต่อการก่ออาชญากรรมอีก ซึ่งทางรัฐบาลก็มีนโยบายส่งเสริมตามนโยบายส่งเสริมให้ได้เรียนต่อด้วย ตามแผนปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาล 9 ข้อ