ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดงานประชุมสมัชชาประชาชน ขนผลงานแก้ไขเศรษฐกิจอวดเพียบ ชี้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายพลิกเป็นบวกอย่างแน่นอน ทั้งผลสำเร็จลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ โปรยยาหอมงบโครงการไทยเข้มแข็งจ่อพัฒนาประเทศอีก 4 แสนล้านบาท และยอดนักท่องเที่ยวที่เข้าเป้า 14 ล้านคน พร้อมโยนหินถามทางโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จะเกิดขึ้นในภาคใต้
วันนี้ (12 ธ.ค.) พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดงานสมัชชาประชาชน ประชาธิปัตย์ 2552 “เชื่อมั่นประเทศไทย เชื่อมั่นประชาธิปัตย์” ณ โรงแรมเจ.บี หาดใหญ่ จ.สงขลา ระหว่างวันที่ 12-13 ธันวาคม 2552 ท่ามกลางผู้ร่วมงานจากพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกพรรคจำนวนมาก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในที่ประชุมว่า ประวัติศาสตร์การเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์มักเป็นรัฐบาลในช่วงที่บ้านเมืองกำลังเผชิญวิกฤตปัญหา เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลหลังจากที่เป็นพรรคฝ่ายค้านมาร่วม 7-8 ปี บ้านเมืองกำลังมีปัญหาใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อน กล่าวคือ
1. ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาหลายปี และหลายฝ่ายยังมองไม่เห็นทางออก 2.การเผชิญหน้ากับวิกฤตเศรษฐกิจซับไพร์มซึ่งส่งผลกระทบทั่วโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศไทยเริ่มได้รับผลกระทบชัดเจนในช่วงปลายปี 2551 ที่ผ่านมา ทำให้การส่งออก การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจโดยภาพรวมที่เคยเติบโตกลับติดลบ 20-30%
การเข้ามาของพรรคประชาธิปัตย์ทำให้ประชาชนมีความคาดหวังว่า จะสามารถนำพาบ้านเมืองฝ่าวิกฤตเหล่านี้ไปได้ ซึ่งทางพรรคเองได้เล็งเห็นและตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ และได้ริเริ่มวาระของประชาชนขึ้นเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งผลการทำงานเกือบครบ 1 ปีนั้น รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายได้เกือบทุกด้านภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบาก ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงของสภาที่ถือว่าเป็นยุคแรกที่ต้องมีการตรวจสอบองค์ประชุมทุกครั้งที่จะมีการลงคะแนนในทุกๆ เรื่อง
อย่างไรก็ตาม การทำงานของรัฐบาลนั้นก็ยังถือว่าสามารถผลักดันการแก้ไขข้อกฎหมายต่างๆ ที่นำไปใช้รองรับการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้มากกว่า 2 รัฐบาลที่ผ่านมาโดยเฉพาะนโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่มีทั้ง พรบ., พรก. ที่ผลักดันมาจากสภานั่นเอง
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวต่อด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนี้ได้เป็นไปตามเป้าหมาย จากที่เศรษฐกิจติดลบตั้งแต่ต้นปีกลับฟื้นตัวขึ้นมาทุกๆ ไตรมาส กล่าวต่อ -7.1, -4.5 และ -2.8 ตามลำดับ และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะเป็นบวกอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ รัฐบาลได้เข้ามาแก้ไขปัญหาโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกๆ ทางผสมผสานกัน เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เช่น โครงการเรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ อสม. เป็นต้น แม้ว่าช่วงแรกจะได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่ผ่านมาจะใช้โครงการขนาดใหญ่เป็นตัวขับเคลื่อน แต่ครั้งนี้เราเปลี่ยนวิธีเพราะเห็นว่าโครงการขนาดนั้นใช้เวลานานกว่าจะเริ่มเกิดขึ้นได้ ผลตอบรับทำให้สามารถหยุดยั้งวิกฤตไม่ให้ฉุดเศรษฐกิจดิ่งถลำลึกลงได้ และมีตัวเลขผู้ตกงานเพียง 458,000 คนจากที่มีการประเมินไว้ในตอนแรกสูงถึง 1 ล้านคน และภาพรวมเศรษฐกิจทั้งปีอาจจะติดลบแค่ 3% เท่านั้น
“ถึงแม้จะมีความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่ร้ายแรงที่สุด แต่ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เสียสมาธิกับการแก้ปัญหาประชาชน และไม่ได้ปิดกั้นการแสดงออกทางความคิดเห็นตราบเท่าที่ยังอยู่ในกรอบกติกา เพราะมีรัฐธรรมนูญรองรับการแสดงออกทางการเมืองอยู่แล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อและว่า
ในด้านการท่องเที่ยวก็เช่นกัน จากสถิติยอดนักท่องเที่ยวในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมามากถึง 12.4 ล้านคน และภายในสิ้นปีนี้ไม่น่าเป็นห่วงว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะสามารถกระตุ้นให้ยอดนักท่องเที่ยวเติบโตเพิ่มเป็น 14 ล้านคนตามเป้าไม่ได้ แม้ว่าผลกระทบในช่วงแรกทำให้ยอดนักท่องเที่ยวหายไป 20-30% ก็ตาม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อถึงความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็งว่า ได้มีการใช้จ่ายพัฒนาประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว 3.5 แสนล้านบาท และยังเหลืออีก 4 แสนล้านบาทที่รอการมีส่วนร่วมของประชาชนนำเสนอเพื่อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ โดยรัฐบาลมีโครงการที่จะลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาท้องถิ่น แน่นอนที่สุดคือโครงการรถไฟรางคู่ โดยเน้นความปลอดภัย และเพิ่มขีดความเร็ว 100-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากปัจจุบันวิ่งเร็ว ประมาณ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น
สำหรับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 5 จังหวัดชายแดนใต้นั้น ถือว่าการทำงานของรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเดินไปตามเป้าที่วางไว้ ทั้งในกฎหมายที่จะรองรับการปรับปรุง ศอ.บต.ได้ผ่านการพิจารณาวาระที่ 1 แล้ว นอกจากนี้ก็มีการจัดทำแผนพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มาจากล่างขึ้นบน ร่วมด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในอีกไม่ช้านี้โครงการก่อสร้างถนนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เคยค้างคาไว้ จะทยอยเปิดให้บริการประชาชนอย่างแน่นอน
ในส่วนความสัมพันธ์ของประเทศเพื่อนบ้านดั่งเช่นมาเลเซียนั้น นับว่าดาโต๊ะ ซรี มูห์ฮัมหมัด นาจิบ บิน ตุน ฮัจญี อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซียมีความเข้าใจไทยเป็นอย่างมาก และยังแสดงความมั่นใจและเห็นด้วยกับนโยบายที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินอยู่ ซึ่งเหล่านี้เป็นเรื่องภายในประเทศที่มาเลเซียไม่เคยแทรกแซง และยังแสดงความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนไทยอีกต่างหาก
นายอภิสิทธิ์ ยังทิ้งประเด็นถามผู้เข้าร่วมในที่ประชุมถึงทิศทางการพัฒนาภาคใต้ด้วยว่ามีความเห็นอย่างไรกับการพัฒนาภาคใต้ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการลงทุนด้านอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกถึงจุดอิ่มตัว และภาคธุรกิจอยากให้การลงทุนเหล่านั้นมาขยายต่อที่ภาคใต้ในโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด แต่ก็อยู่กับคนภาคใต้ว่าประชาชนมีความต้องการจริงหรือไม่ เบื้องต้นในส่วนของฝั่งอันดามันนั้นมีเพียง จ.สตูลที่มีเสียงตอบรับโดยไม่กังวลเรื่องท่องเที่ยวเหมือนจังหวัดอื่นๆ ส่วนฝั่งอ่าวไทยได้มีเพียง จ.สงขลา ขณะที่จังหวัดอื่นๆ นั้นมีเสียงสะท้อนในการคัดค้านเป็นส่วนใหญ่
เช่นเดี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่เริ่มมีการศึกษาหาสถานที่ก่อสร้างแล้วเกิดการต่อต้านจากชุมชน ก็ต้องหาคำตอบว่าถ้าไม่เอาพลังงานนิวเคลียร์แล้วจะเอาพลังงานใดมาใช้ในอนาคต แต่หากทั้ง 2 เรื่องนี้ประชาชนมีความต้องการจริง รัฐบาลจะกวดขันในเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่าย
“แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมีที่นั่งในภาคใต้มายาวนาน แต่เวลานี้ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ ส.ส.บางคน บางเขตอยู่เหมือนกัน การเลือกตั้งครั้งหน้าต้องได้เก้าอี้เพิ่มขึ้นให้ได้ โดยการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนจะต้องสามารถตอบโจทย์ให้ได้ ซึ่งนั่นจะเป็นคำตอบเช่นกันว่า ครั้งหน้าจะมีที่นั่งครบในภาคใต้หรือไม่ ซึ่งถ้าเรายังไม่สามารถตอบโจทย์ประชาชนได้ แม้แต่ที่นั่งในจังหวัดที่ไม่น่าจะพลาดก็มีโอกาสชวดเหมือนกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ สำหรับงานดังกล่าวที่มีขึ้นเป็นเวลา 2 วันนั้น จะมีกระบวนการสมัชชาระดมความคิด สรุปประเด็นสมัชชาโดยแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อร่วมกันทำงาน ซึ่งวิทยากรและเป็นผู้แนะนำและให้คำปรึกษาก่อนที่จะมีการนำเสนอผลงานในวันต่อมา และ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี กล่าวปิดงานในที่สุด