ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายทหาร 26 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก ถกแนวทางรับมือภัยรูปแบบใหม่ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์แก้ปัญหาผู้ก่อการร้าย เสนอที่ประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกวันพรุ่งนี้
วันนี้ (22 ก.ค.) พล.อ.ไวพจน์ ศรีนวล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารของ ARF DoD ณ โรงแรมเมอร์ลิน บีช รีสอร์ท จ.ภูเก็ต เพื่อที่จะนำผลการประชุมเสนอต่อที่ประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 16 ซึ่งจะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้ ณ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ ลากูน่า ภูเก็ต อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยการประชุม ARF นั้นจะมีประเทศที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 26 ประเทศ โดยการประชุมในครั้งนี้จะมีประเทศปาปัวนิวกีนีเป็นผู้สังเกตการณ์ และไม่มีประเทศเกาหลีเหนือ มองโกเลียและบังกลาเทศเข้าร่วมหารือ
สำหรับการประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารของ ARF ที่กระทรวงกลาโหมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้นั้น เป็นการหารือเกี่ยวกับความมั่นคงรูปแบบใหม่ในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านภัยก่อการร้าย ทั้งนี้ผลการประชุมจะเป็นกลไกลสำคัญในการส่งเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถทางทหาร และความสามารถในการปฎิบัติการร่วมกันเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามด้านความมั่นคงในรูปแบบต่างๆ
ขณะที่ พล.อ.อภิชาติ เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กรอบการหารือในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส ARF ในวันนี้นั้นจะเป็นกรองการแก้ปัญหาภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่จะร่วมกันดำเนินการ โดยจะมีไทย จีน ออสเตรเลีย สิงคโปร์ กัมพูชา จะผู้นำเสนอ นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายของแต่ละประเทศ โดยในส่วนของไทยนั้นจะมีการนำเสนอการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ บังคลาเทศจะนำเสนอการแก้ปัญหากลุ่มพยัคฑมิฬอิแลม ที่ดำเนินการประสบความสำเร็จ สหรัฐอเมริกาจะนำเสนอการแก้ปัญหาภัยที่คุกคามทั่วโลก รวมถึงปากีสถาน และฟิลิบปินส์ หลังจากนั้นจะเปิดกว้างให้ประเทศต่างๆ ได้นำเสนอถึงการแก้ปัญหาก่อการร้ายที่เกิดขึ้นภายในประเทศนั้น
ส่วนเรื่องอาวุธนิวเคลียร์นั้น คิดว่าไม่น่าที่จะหยิกยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือเพราะเกลาหลีเหนือไม่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ และการที่สหรัฐฯ เข้ามาหารือในการประชุมนั้นจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้น และทางสหรัฐฯ ก็ไม่ได้แสดงตนที่จะผู้นำในการแก้ปัญหาการก่อการร้ายแต่อย่างใด การแก้ปัญหาจะเท่าเทียมกันทุกประเทศ และการแก้ปัญหานั้นจะต้องให้ประเทศนั้นยินยอมก่อนที่จะประเทศอื่นๆ จะเข้าไปดำเนินการได้
วันนี้ (22 ก.ค.) พล.อ.ไวพจน์ ศรีนวล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารของ ARF DoD ณ โรงแรมเมอร์ลิน บีช รีสอร์ท จ.ภูเก็ต เพื่อที่จะนำผลการประชุมเสนอต่อที่ประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 16 ซึ่งจะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้ ณ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ ลากูน่า ภูเก็ต อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยการประชุม ARF นั้นจะมีประเทศที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 26 ประเทศ โดยการประชุมในครั้งนี้จะมีประเทศปาปัวนิวกีนีเป็นผู้สังเกตการณ์ และไม่มีประเทศเกาหลีเหนือ มองโกเลียและบังกลาเทศเข้าร่วมหารือ
สำหรับการประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารของ ARF ที่กระทรวงกลาโหมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้นั้น เป็นการหารือเกี่ยวกับความมั่นคงรูปแบบใหม่ในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านภัยก่อการร้าย ทั้งนี้ผลการประชุมจะเป็นกลไกลสำคัญในการส่งเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถทางทหาร และความสามารถในการปฎิบัติการร่วมกันเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามด้านความมั่นคงในรูปแบบต่างๆ
ขณะที่ พล.อ.อภิชาติ เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กรอบการหารือในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส ARF ในวันนี้นั้นจะเป็นกรองการแก้ปัญหาภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่จะร่วมกันดำเนินการ โดยจะมีไทย จีน ออสเตรเลีย สิงคโปร์ กัมพูชา จะผู้นำเสนอ นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายของแต่ละประเทศ โดยในส่วนของไทยนั้นจะมีการนำเสนอการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ บังคลาเทศจะนำเสนอการแก้ปัญหากลุ่มพยัคฑมิฬอิแลม ที่ดำเนินการประสบความสำเร็จ สหรัฐอเมริกาจะนำเสนอการแก้ปัญหาภัยที่คุกคามทั่วโลก รวมถึงปากีสถาน และฟิลิบปินส์ หลังจากนั้นจะเปิดกว้างให้ประเทศต่างๆ ได้นำเสนอถึงการแก้ปัญหาก่อการร้ายที่เกิดขึ้นภายในประเทศนั้น
ส่วนเรื่องอาวุธนิวเคลียร์นั้น คิดว่าไม่น่าที่จะหยิกยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือเพราะเกลาหลีเหนือไม่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ และการที่สหรัฐฯ เข้ามาหารือในการประชุมนั้นจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้น และทางสหรัฐฯ ก็ไม่ได้แสดงตนที่จะผู้นำในการแก้ปัญหาการก่อการร้ายแต่อย่างใด การแก้ปัญหาจะเท่าเทียมกันทุกประเทศ และการแก้ปัญหานั้นจะต้องให้ประเทศนั้นยินยอมก่อนที่จะประเทศอื่นๆ จะเข้าไปดำเนินการได้
