นครศรีธรรมราช – ตร.เมืองพระ ล่อซื้อยาบ้าเสี่ยรีสอร์ตหรูกลางเมืองนครศรี ก่อนดวลปืนสนั่น สามารถยึดปืนกลคาร์บิน และคลังแสงย่อมๆ พร้อมยาบ้าได้อีกอื้อ ด้าน มท.3 เจอตำตา ตร.มีความยากลำบากในการต่อสู้กับกลุ่มผู้ค้ายา เตรียมรื้อระบบหนุน GT-200 อุปกรณ์สุดไฮเทคล่ายาเสพติดเผยยาบ้า 30 ล้านเม็ดจ่อทะลักเข้าไทย
วันนี้ (15 มี.ค.) เวลา 12.00 น.นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ต.อ.สมชาย อ่วมถนอม รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช พ.ต.อ.สุทัศน์ ชาญสวัสดิ์ รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ร่วมกันแถลงผลการจุบกุมยาบ้าและอาวุธสงครามจำนวนมาก ภายหลังจากที่ พ.ต.ท.โชคดี ศรีเมือง รอง ผกก.กลุ่มงานสืบสวน บก.ภ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เข้าทำการล่อซื้อยาบ้าจากนายยุทธพล หรือ ต้อย พิณเดช อายุ 32 ปี เสี่ยหนุ่มเจ้าของโรงแรมทรงไทยรีสอร์ต เลขที่ 179/12 ม.7 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมืองนครศรีธรรมราช และนายอภิเชษฐ์ ยอดแก้ว อายุ 29 ปี อยู่ 34/3 ม.5 ต.ปากนคร อ.เมืองนครศรีธรรมราช
ทั้งนี้ สามารถตรวจยึดของกลางเป็นยาบ้ารวม 175 เม็ด อาวุธปืนกลมือ คาร์บิน 1 กระบอก ปืนลูกซองยาว ปืนอัดลม และเครื่องกระสุนอีกหลายรายการ รวมทั้งตรวจยึดรถยนต์ 1 คัน รถจักรยานยนต์ 3 คัน รวมมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท และบัญชีเงินหมุนเวียนอีกนับล้านบาท โดยขณะจับกุมนั้นนายอภิเชษฐ์ได้ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเปิดทางและหลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
พ.ต.อ.สมชาย อ่วมถนอม ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช แถลงรายงานการจับกุมว่า จากการสืบสวนมาอย่างต่อเนื่องพบว่า นายยุทธพล และ นายอภิเชษฐ์ ซึ่งเพิ่งพ้นโทษจากเรือนจำในคดีฆ่าคนตายออกมามีพฤติกรรม ในการจำหน่ายยาเสพติดชนิดยาบ้า และซ่องสุมอาวุธสงครามเพื่อจำหน่าย เจ้าหน้าที่ได้พยายามติดต่อล่อซื้อยาบ้าจำนวน 20 เม็ด และมีการยืนยันจากสายสืบว่าคนร้ายพร้อมที่จะใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ตลอดเวลา
ด้วยความระมัดระวังจึงได้ล่อซื้ออาวุธปืนกลคาร์บินในราคา 2.4 หมื่นบาท เพื่อความปลอดภัยขณะเข้าทำการจับกุม ปรากฏว่า นายอภิเชษฐ์ ได้ยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่เปิดทางหลบหนีเข้าป่าพรุหลังโรงแรมทรงไทยไปได้อย่างหวุดหวิด ส่วนนายยุทธพลถูกคุมตัวไว้ได้
สำหรับ นายยุทธพล นั้นจบการศึกษาในระดับปริญญาโทจากสถาบันแห่งหนึ่ง ปัจจุบันได้รับกิจการโรงแรมจากครอบครัวมาดูแลต่อ และได้ทำธุรกิจค้ายาบ้าและอาวุธสงครามเป็นรายได้เสริม โดยมีการติดต่อซื้อขายยาบ้าทางระบบอินเทอร์เน็ต
เบื้องต้นจากการค้นข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของ นายยุทธพล นั้นพบว่า มีข้อมูลของการจำหน่ายยาบ้าจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังขยายผลอย่างเร่งด่วน ส่วนนายอภิเชษฐ์ ยอดแก้ว นั้นจะได้เร่งรัดขอหมายจับกุม เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีอย่างเร่งด่วนเช่นกัน
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในขณะที่ลงพื้นที่มอบนโยบายการปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รายงานถึงการปฏิบัติตนเองได้เข้าไปดูในที่เกิดเหตุด้วยตัวเองทันที ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ทุ่มเทของเจ้าหน้าที่และต้องขอชื่นชม ในส่วนของนครศรีธรรมราช พบว่ายังมีปัญหาอุปสรรคอีกมากแม้แต่ศูนย์ต่อสู้ยาเสพติดนั้นมีแค่ห้องเล็กๆ 1 ห้องเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆ อีก 2-3 ตัว
“นอกจากนี้ พบว่า เรายังขาดแคลนอุปกรณ์จำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันนั้นมีเครื่อง จีที 200 ซึ่งเป็นเครื่องมือใช้เทคโนโลยีในการสแกนหายาเสพติดได้ดีกว่าสุนัขดมกลิ่น โดยสามารถนำขึ้นเครื่องบินบินหาเป้าหมายโดยการสแกน เมื่อพบสามารถตรวจค้นได้ จากรายงานที่ว่าจะมียาเสพติดถึง 30 ล้านเม็ด รอจ่อเคลื่อนย้ายเข้าสู่ประเทศไทยตามแนวชายแดน พร้อมที่จะเข้ามาในช่วงหน้าร้อนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกฝ่าย ต้องเข้มข้นมากขึ้น และจะมีชุดติดตามเจ้าหน้าที่รัฐบาลคนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง จะต้องเร่งดำเนินการ” มท.3 กล่าว
นายถาวร กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาผิดได้ในเรื่องของยาเสพติดแต่สามารถใช้ พรบ.มาตรการฟอกเงิน ในการพิสูจน์ทรัพย์โดยหน่วยงาน ปปง. ซึ่งผู้ที่ถูกตรวจสอบทรัพย์จะต้องมีภาระ ในการพิสูจน์การได้มาหากไม่สามารถพิสูจน์ได้ย่อมที่จะต้องถูกยึดทรัพย์อย่างแน่นอน เนื่องจากเรารู้ถึงเครือข่ายและขบวนการ แม้ว่าจะเอาหลักฐานยาเสพติดมาไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากผู้ค้าย่อมระมัดระวังและมีความซับซ้อนในการจำหน่ายมากขึ้น
วันนี้ (15 มี.ค.) เวลา 12.00 น.นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ต.อ.สมชาย อ่วมถนอม รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช พ.ต.อ.สุทัศน์ ชาญสวัสดิ์ รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ร่วมกันแถลงผลการจุบกุมยาบ้าและอาวุธสงครามจำนวนมาก ภายหลังจากที่ พ.ต.ท.โชคดี ศรีเมือง รอง ผกก.กลุ่มงานสืบสวน บก.ภ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เข้าทำการล่อซื้อยาบ้าจากนายยุทธพล หรือ ต้อย พิณเดช อายุ 32 ปี เสี่ยหนุ่มเจ้าของโรงแรมทรงไทยรีสอร์ต เลขที่ 179/12 ม.7 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมืองนครศรีธรรมราช และนายอภิเชษฐ์ ยอดแก้ว อายุ 29 ปี อยู่ 34/3 ม.5 ต.ปากนคร อ.เมืองนครศรีธรรมราช
ทั้งนี้ สามารถตรวจยึดของกลางเป็นยาบ้ารวม 175 เม็ด อาวุธปืนกลมือ คาร์บิน 1 กระบอก ปืนลูกซองยาว ปืนอัดลม และเครื่องกระสุนอีกหลายรายการ รวมทั้งตรวจยึดรถยนต์ 1 คัน รถจักรยานยนต์ 3 คัน รวมมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท และบัญชีเงินหมุนเวียนอีกนับล้านบาท โดยขณะจับกุมนั้นนายอภิเชษฐ์ได้ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเปิดทางและหลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
พ.ต.อ.สมชาย อ่วมถนอม ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช แถลงรายงานการจับกุมว่า จากการสืบสวนมาอย่างต่อเนื่องพบว่า นายยุทธพล และ นายอภิเชษฐ์ ซึ่งเพิ่งพ้นโทษจากเรือนจำในคดีฆ่าคนตายออกมามีพฤติกรรม ในการจำหน่ายยาเสพติดชนิดยาบ้า และซ่องสุมอาวุธสงครามเพื่อจำหน่าย เจ้าหน้าที่ได้พยายามติดต่อล่อซื้อยาบ้าจำนวน 20 เม็ด และมีการยืนยันจากสายสืบว่าคนร้ายพร้อมที่จะใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ตลอดเวลา
ด้วยความระมัดระวังจึงได้ล่อซื้ออาวุธปืนกลคาร์บินในราคา 2.4 หมื่นบาท เพื่อความปลอดภัยขณะเข้าทำการจับกุม ปรากฏว่า นายอภิเชษฐ์ ได้ยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่เปิดทางหลบหนีเข้าป่าพรุหลังโรงแรมทรงไทยไปได้อย่างหวุดหวิด ส่วนนายยุทธพลถูกคุมตัวไว้ได้
สำหรับ นายยุทธพล นั้นจบการศึกษาในระดับปริญญาโทจากสถาบันแห่งหนึ่ง ปัจจุบันได้รับกิจการโรงแรมจากครอบครัวมาดูแลต่อ และได้ทำธุรกิจค้ายาบ้าและอาวุธสงครามเป็นรายได้เสริม โดยมีการติดต่อซื้อขายยาบ้าทางระบบอินเทอร์เน็ต
เบื้องต้นจากการค้นข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของ นายยุทธพล นั้นพบว่า มีข้อมูลของการจำหน่ายยาบ้าจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังขยายผลอย่างเร่งด่วน ส่วนนายอภิเชษฐ์ ยอดแก้ว นั้นจะได้เร่งรัดขอหมายจับกุม เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีอย่างเร่งด่วนเช่นกัน
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในขณะที่ลงพื้นที่มอบนโยบายการปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รายงานถึงการปฏิบัติตนเองได้เข้าไปดูในที่เกิดเหตุด้วยตัวเองทันที ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ทุ่มเทของเจ้าหน้าที่และต้องขอชื่นชม ในส่วนของนครศรีธรรมราช พบว่ายังมีปัญหาอุปสรรคอีกมากแม้แต่ศูนย์ต่อสู้ยาเสพติดนั้นมีแค่ห้องเล็กๆ 1 ห้องเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆ อีก 2-3 ตัว
“นอกจากนี้ พบว่า เรายังขาดแคลนอุปกรณ์จำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันนั้นมีเครื่อง จีที 200 ซึ่งเป็นเครื่องมือใช้เทคโนโลยีในการสแกนหายาเสพติดได้ดีกว่าสุนัขดมกลิ่น โดยสามารถนำขึ้นเครื่องบินบินหาเป้าหมายโดยการสแกน เมื่อพบสามารถตรวจค้นได้ จากรายงานที่ว่าจะมียาเสพติดถึง 30 ล้านเม็ด รอจ่อเคลื่อนย้ายเข้าสู่ประเทศไทยตามแนวชายแดน พร้อมที่จะเข้ามาในช่วงหน้าร้อนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกฝ่าย ต้องเข้มข้นมากขึ้น และจะมีชุดติดตามเจ้าหน้าที่รัฐบาลคนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง จะต้องเร่งดำเนินการ” มท.3 กล่าว
นายถาวร กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาผิดได้ในเรื่องของยาเสพติดแต่สามารถใช้ พรบ.มาตรการฟอกเงิน ในการพิสูจน์ทรัพย์โดยหน่วยงาน ปปง. ซึ่งผู้ที่ถูกตรวจสอบทรัพย์จะต้องมีภาระ ในการพิสูจน์การได้มาหากไม่สามารถพิสูจน์ได้ย่อมที่จะต้องถูกยึดทรัพย์อย่างแน่นอน เนื่องจากเรารู้ถึงเครือข่ายและขบวนการ แม้ว่าจะเอาหลักฐานยาเสพติดมาไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากผู้ค้าย่อมระมัดระวังและมีความซับซ้อนในการจำหน่ายมากขึ้น
