เปิดรับกฎหมายอิสลาม เปิดใจแก้ปัญหาไฟใต้

รายงาน..ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

ถึงเวลาแล้วยังสำหรับการประกาศใช้กฎหมายอิสลามเพื่อตัดสินคดีในครอบครัวตามหลักศาสนา ที่คน “มุสลิม”ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกร้องมานานนับสิบปี เพราะเป็นอีกแนวทางหนึ่งของความความ”จริงใจ”ของรัฐบาลไทยในการสร้าง

ข้อเรียกร้องเรื่อง “กฎหมายอิสลาม”และการตั้ง “ศาลชารีอะห์” เป็นข้อเรียกร้องของนักวิชาการ นักการศาสนา ผู้รู้ และตัวแทนของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีต่อรัฐบาลมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยที่รัฐบาลหลายยุคหลายสมัย ต่างรับฟัง และใช้เวลาในการศึกษาถึงข้อดี ข้อเสีย ของการบังคับใช้กฎหมายอิสลาม หรือการให้มีศาลชารีอะห์ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว

เหตุผลหนึ่งของการที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสภาความมั่นคง และกองทัพ ไม่เห็นด้วยในการที่จะให้มีการบังคับใช้กฎหมายอิสลามอย่างเต็มรูปแบบ ตามความต้องการของผู้ที่เป็น “มุสลิม” เนื่องจากยังยึดติดกับปัญหาความ”มั่นคง” ซึ่งยังมีแนวคิดแบบเก่าๆ ว่าถ้ามีการอนุญาตให้มีการใช้กฎหมายอิสลามเต็มรูปแบบอย่างหลายประเทศ หรือการมี “ศาลชารีอะห์” จะทำให้มีปัญหาต่อความมั่นคง

รวมทั้งหน่วยงานส่วนใหญ่ในประเทศ ยังไม่มีความเข้าใจเรื่อง กฎหมายอิสลามและศาลชารีอะห์อย่างถูกต้อง รวมทั้งประชาชนส่วนใหญ่ เมื่อพูดถึงกฎหมายอิสลาม หรือศาลชารีอะห์ มักเข้าใจว่า เป็นการนำกฎหมายทั้งหมดมาบังคับใช้กับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะกฎหมายอิสลามที่คนที่เป็น “มุสลิม” ต้องการใช้มีขึ้นในประเทศไทย โดยให้นำร่องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการบังคับใช้กฎหมายอิสลาม เพื่อตัดสิน พิจารณาคดีความเกี่ยวกับครอบครัว เช่นการ หย่าร้าง การแบ่งมรดก ความขัดแย้งในครอบครัว และเงินซากาด เป็นต้น ส่วนความผิดด้านอื่นๆ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายอิสลาม แต่อย่างใด

โดยข้อเท็จจริง ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการใช้กฎหมายอิสลามอยู่แล้ว โดยการแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง “ดาโต๊ะยุติธรรม” เพื่อชี้ข้อกฎหมายว่า ส่วนใดที่ต้องใช้กฎหมายอิสลาม เพียงแต่วิธีพิจารณาคดี และการตัดสินคดี ยังไม่ได้เป็นไปตามหลักการของศาสนาอิสลามอย่างเต็มรูปแบบ และไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันกัน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในหลักการของ “อิสลาม”

สภาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ศูนย์อำนวยการจังหวัดชายชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ได้ดำเนินการพิจารณาศึกษา ข้อดี ข้อเสีย ของการใช้กฎหมายอิสลามอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งการตั้งศาลชารีอะห์ขึ้นประเทศ เพื่อใช้ “นำร่อง”ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามความต้องการของผู้นับถือศาสนาอิสลามอย่างจริงจัง โดยได้นำคณะกรรมการสภาเสริมสร้างสันติสุข เดินทางไปศึกษาดูงาน การใช้กฎหมายอิสลาม และการตัดสินคดีของศาลชารีอะห์ในประเทศ ศรีลังกา และประเทศอียิปต์ ซึ่งในการเดินทางไปศึกษาดูงานครั้งนี้ ทำให้เห็นชัดถึงข้อดี ในการที่จะใช้กฎหมายอิสลาม และข้อเสียที่จะต้องนำมาปรับใช้ให้ตรงกับความเป็นจริงของประเทศไทย

เหตุผลที่คณะกรรมการที่ปรึกษาสภาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ เลือกเอาประเทศศรีลังการเป็นที่ศึกษาดูงาน เรื่องกฎหมายอิสลาม และศาลชารีอะห์ เนื่องจากประเทศศรีลังกา เป็นประเทศที่มีคนมุสลิมอาศัยอยู่เพียง 7 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้ปกครองประเทศยังเห็นถึงความสำคัญในการให้สิทธิ์ของคนกลุ่มน้อย ในประเทศได้มีสิทธิในการใช้กฎหมายที่เป็นหลักศาสนาเพื่อพิจารณาคดี เพื่อให้มีความชอบธรรม ในขณะที่ประเทศอียิปต์ เป็นประเทศมุสลิม”สายกลาง” ที่มีความ “ทันสมัย” ของกฎหมายอิสลาม ที่ประเทศมุสลิมทั่วโลกให้การยอมรับ และมีมหาวิทยาการเรียก การสอนทั้งในวิชาศาสนา และวิชาอื่นๆ ที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดตั้งอยู่

แน่นอนว่า การที่รัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีความเห็นชอบให้มีการใช้กฎหมายอิสลามอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งการที่จะให้มีการจัดตั้งศาลชารีอะห์ขึ้นในศาลสถิตย์ยุติธรรมนั้น ยังต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อดี ข้อเสีย ของอีกหลายหน่วยงาน รวมทั้งยังต้องให้ความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริง หรือการ “สื่อสารกับสังคม” ให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎหมายอิสลาม และศาลชารีอะห์ อย่างทั่วถึง แต่ก็ถือว่า การที่สภาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้”ผลักดัน” ให้รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของการสร้างความชอบธรรม ให้เกิดขึ้นกับพี่น้อง”มุสลิม”ในการให้พวกเขาได้ใช้กฎหมายอิสลามในการ จัดการกับปัญหาในชีวิตของพวกเขา ย่อมแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐบาล ที่มีต่อพี่น้อง”มุสลิม”ทั้งหมด โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้

และหากรัฐบาล “ใจกว้าง” พอในการที่จะให้มีการบังคับใช้กฎหมายอิสลาม ตามความต้องการของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในอนาคตอาจจะมีตัวแทนของประเทศต่างๆ เดินทางมาเพื่อศึกษา ดูงาน การใช้กฎหมายอิสลามในประเทศไทย ซึ่งนั่นหมายถึงความสำเร็จ ในการแก้ปัญหา “ไฟใต้” ที่ปรากฏชัดต่อโลกมุสลิม และเป็นการแสดงให้องค์กรสิทธิมนุษย์ชน เห็นอย่างชัดเจนว่า “ไทย” เป็นประเทศที่ให้การเคารพ สิทธิ เสรีภาพ ของผู้คนทุกชนชั้น ทุกศาสนาอย่างแท้จริง