กระบี่ - ตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ คุมเข้มธนาคาร ร้านทอง ช่วงเศรษฐกิจขาลง หวั่นคนร้ายก่อเหตุอาชญากรรม เผยปี 52 ได้รับงบประมาณติดตั้ง CCTV จำนวน 5 ล้านบาท
พ.ต.อ.บุญทวี โตรักษา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (รอง ผบก.ภ.จว.) กระบี่ เปิดเผยว่า ทาง ภ.จว.กระบี่ ได้กำหนดแผนปฎิบัติการเร่งด่วนเพื่อลดการก่อปัญหาอาชญากรรมทุกรูปแบบในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ ทั้งการก่อปัญหาอาชญากรรมปล้นทรัพย์ ฆ่า และการก่อการร้ายข้ามชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป
โดยแผนปฏิบัติการแรกจะมีการฝึกอบรมทบทวนอาสาสมัครตำรวจที่กระจายอยู่แต่หมู่บ้าน นับร้อยคน ทำหน้าที่ คอยระวังแจ้งข่าว และสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อยพื้นที่ ทั้งช่วยให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เพราะเพียงลำพังกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง คงจะไม่สามารถเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อย ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างแน่นอน ซึ่งอาสาสมัครตำรวจจะเป็นตัวช่วยตำรวจที่ดีที่สุด
รอง ผบก.ภ.จว.กระบี่ เปิดเผยอีกว่า นอกจากได้กำหนดแผนปฎิบัติการเร่งด่วนเพื่อลดการก่อปัญหาอาชญากรรมแล้ว ทาง.ภ.จว.กระบี่ ได้เตรียมแผนรับมือกับการก่อปัญหาอาชญากรรมปล้นร้านทอง และธนาคาร โดยได้เน้นย้ำให้ทุก สภ.ทั้ง 8 สภ.จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหมุนเวียนคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยตลอดเวลา เพราะสถานที่ทั้ง 2 แห่ง เป็นที่หมายตาของมิจฉาชีพ
โดยเฉพาะร้านทองที่มีการรักษาความปลอดภัย หรือดูแลหละหลวมก็มักจะถูกกลุ่มมิจฉาชีพปล้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ทุกครั้ง เพื่อความไม่ประมาทในช่วงเศรษฐกิจขาลงจึงต้องจัดกำลังเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนดูแลตลอดเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
“ในงบประมาณปี 2552 ทาง ภ.จว.กระบี่ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากจังหวัดกระบี่ จำนวน 5 ล้านบาท เพื่อติดตั้ง CCTV ตามพื้นที่เสี่ยง ซึ่งหลังจากติดตั้งแล้วเสร็จจะทำให้การเฝ้าระวังการก่อปัญหาอาชญากรรม และจะเป็นเบาะแสในการติดตามจับกุมคนร้าย ของเจ้าหน้าที่ สามารถทำงานได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ได้ตรวจติดตามเฝ้าระวังร้านรับซื้อของเก่า หรือร้านจำหน่ายสินค้ามือสองเพราะเป็นช่องทางหนึ่งที่คนร้ายใช้เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าหลังจากที่ลักขโมยมาได้ และเชื่อว่าแผนปฏิบัติการดังกล่าวข้างต้นจะลดปัญหาการก่ออาชญากรรมได้อย่างแน่นอน และขอฝากไปยังผู้หวังดีทุกคน ที่โทรแจ้งเหตุผ่าน 191อย่าแจ้งเหตุเท็จ เพราะจากการตรวจสอบพบว่า ร้อยละ 50 แจ้งเหตุเท็จทำให้เจ้าหน้าที่เสียเวลาในการตรวจสอบ
พ.ต.อ.บุญทวี โตรักษา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (รอง ผบก.ภ.จว.) กระบี่ เปิดเผยว่า ทาง ภ.จว.กระบี่ ได้กำหนดแผนปฎิบัติการเร่งด่วนเพื่อลดการก่อปัญหาอาชญากรรมทุกรูปแบบในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ ทั้งการก่อปัญหาอาชญากรรมปล้นทรัพย์ ฆ่า และการก่อการร้ายข้ามชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป
โดยแผนปฏิบัติการแรกจะมีการฝึกอบรมทบทวนอาสาสมัครตำรวจที่กระจายอยู่แต่หมู่บ้าน นับร้อยคน ทำหน้าที่ คอยระวังแจ้งข่าว และสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อยพื้นที่ ทั้งช่วยให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เพราะเพียงลำพังกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง คงจะไม่สามารถเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อย ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างแน่นอน ซึ่งอาสาสมัครตำรวจจะเป็นตัวช่วยตำรวจที่ดีที่สุด
รอง ผบก.ภ.จว.กระบี่ เปิดเผยอีกว่า นอกจากได้กำหนดแผนปฎิบัติการเร่งด่วนเพื่อลดการก่อปัญหาอาชญากรรมแล้ว ทาง.ภ.จว.กระบี่ ได้เตรียมแผนรับมือกับการก่อปัญหาอาชญากรรมปล้นร้านทอง และธนาคาร โดยได้เน้นย้ำให้ทุก สภ.ทั้ง 8 สภ.จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหมุนเวียนคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยตลอดเวลา เพราะสถานที่ทั้ง 2 แห่ง เป็นที่หมายตาของมิจฉาชีพ
โดยเฉพาะร้านทองที่มีการรักษาความปลอดภัย หรือดูแลหละหลวมก็มักจะถูกกลุ่มมิจฉาชีพปล้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ทุกครั้ง เพื่อความไม่ประมาทในช่วงเศรษฐกิจขาลงจึงต้องจัดกำลังเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนดูแลตลอดเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
“ในงบประมาณปี 2552 ทาง ภ.จว.กระบี่ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากจังหวัดกระบี่ จำนวน 5 ล้านบาท เพื่อติดตั้ง CCTV ตามพื้นที่เสี่ยง ซึ่งหลังจากติดตั้งแล้วเสร็จจะทำให้การเฝ้าระวังการก่อปัญหาอาชญากรรม และจะเป็นเบาะแสในการติดตามจับกุมคนร้าย ของเจ้าหน้าที่ สามารถทำงานได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ได้ตรวจติดตามเฝ้าระวังร้านรับซื้อของเก่า หรือร้านจำหน่ายสินค้ามือสองเพราะเป็นช่องทางหนึ่งที่คนร้ายใช้เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าหลังจากที่ลักขโมยมาได้ และเชื่อว่าแผนปฏิบัติการดังกล่าวข้างต้นจะลดปัญหาการก่ออาชญากรรมได้อย่างแน่นอน และขอฝากไปยังผู้หวังดีทุกคน ที่โทรแจ้งเหตุผ่าน 191อย่าแจ้งเหตุเท็จ เพราะจากการตรวจสอบพบว่า ร้อยละ 50 แจ้งเหตุเท็จทำให้เจ้าหน้าที่เสียเวลาในการตรวจสอบ