นราธิวาส – ผู้ว่าฯ นราธิวาส ประกาศเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน 4 อำเภอ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เร่งระบายน้ำลงสู่แม่น้ำสุไหงโก-ลก ทำให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยนำเรือท้องแบนออกให้บริการราษฎร
วันนี้ (6 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมจากพื้นที่ จ.นราธิวาส แจ้งว่า ภาวะฝนที่ตกลงมาอย่างหนักแพรปกคลุมพื้นที่ทั้ง 13 อำเภอในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้หยุดลงแล้ว ทำให้บรรยากาศบนท้องฟ้าเริ่มแจ่มใส แต่ภาวะน้ำท่วมขังบ้านเรือนของราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตรยังคงขยายเป็นวงกว้าง
เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ได้ตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 6 เครื่อง เพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขังบ้านเรือนของราษฎรและถนนสายหลักที่มุ่งหน้าไปยังเมืองโกตาบารู ที่มีระดับน้ำท่วมขังโดยภาพรวมสูงโดยเฉลี่ย 100-130 ซม. ลงสู่แม่น้ำสุไหงโก-ลก ซึ่งเป็น 1 ใน 3 แม่น้ำสายหลัก ไหลเข้าสมทบกับปริมาณน้ำที่อยู่ในระดับล้นตลิ่ง จนไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนของราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตรอย่างรวดเร็ว
จนส่งผลทำให้นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ต้องประกาศพื้นที่ 4 อำเภอ คือ อ.เมือง, อ.แว้ง อ.สุไหงโก-ลก และ อ.ระแงะ เป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินแล้ว ซึ่งล่าสุดทั้ง 4 อำเภอ มีปริมาณระดับน้ำท่วมขังบ้านเรือนของราษฎร พื้นที่ทางการเกษตร ถนนหนทางสายหลักและภายในหมู่บ้าน สูงขึ้นจากวานนี้โดยเฉลี่ย 20-30 ซ.ม.โดยอยู่ในระดับ 110-130 ซ.ม. ยานพาหนะทุกชนิดไม่สามารถใช้การได้
แต่เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยของแต่ละอำเภอได้นำเรือท้องแบนออกให้บริการแก่ประชาชน ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปยังสู่โลกภายนอกแล้ว จากการตรวจสอบทั้ง 4 อำเภอ พบว่ามีภาวะน้ำท่วมขังจำนวนทั้งสิ้น 146 หมู่บ้าน 20 ตำบล ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,076 ครัวเรือน รวม 23,408 คน
นอกจากนี้ ผลพวงจากภาวะฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา และส่งผลทำให้ขบวนรถไฟ 14 ขบวน ที่วิ่งต้นทางจากสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก ปลายทางสถานีรถไฟนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และหัวลำโพง ที่ประกาศหยุดเดินรถทุกขบวนเป็นการฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 52 ที่ผ่านมา
เนื่องจากดินใต้ฐานของแนวกันทางของรางรถไฟที่สถานีรถไฟสะโลตราแดะ ม.1 ต.เฉลิม อ.ระแงะ ได้ทรุดตัวลงที่บริเวณหลักกิโลเมตร 1095 ถึงหลักกิโลเมตรที่ 1098 ซึ่งเป็นระยะทางกว่า 100 เมตร ยังซ่อมแซมไม่แล้วเสร็จ ต้องทำการหยุดเดินรถทั้ง 14 ขบวนติดต่อกันเป็นวันที่ 3 อีก และคาดว่าในวันพรุ่งนี้รถทั้ง 14 ขบวนจะทยอยวิ่งออกให้บริการแก่ประชาชนได้ตามปกติ
วันนี้ (6 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมจากพื้นที่ จ.นราธิวาส แจ้งว่า ภาวะฝนที่ตกลงมาอย่างหนักแพรปกคลุมพื้นที่ทั้ง 13 อำเภอในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้หยุดลงแล้ว ทำให้บรรยากาศบนท้องฟ้าเริ่มแจ่มใส แต่ภาวะน้ำท่วมขังบ้านเรือนของราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตรยังคงขยายเป็นวงกว้าง
เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ได้ตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 6 เครื่อง เพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขังบ้านเรือนของราษฎรและถนนสายหลักที่มุ่งหน้าไปยังเมืองโกตาบารู ที่มีระดับน้ำท่วมขังโดยภาพรวมสูงโดยเฉลี่ย 100-130 ซม. ลงสู่แม่น้ำสุไหงโก-ลก ซึ่งเป็น 1 ใน 3 แม่น้ำสายหลัก ไหลเข้าสมทบกับปริมาณน้ำที่อยู่ในระดับล้นตลิ่ง จนไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนของราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตรอย่างรวดเร็ว
จนส่งผลทำให้นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ต้องประกาศพื้นที่ 4 อำเภอ คือ อ.เมือง, อ.แว้ง อ.สุไหงโก-ลก และ อ.ระแงะ เป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินแล้ว ซึ่งล่าสุดทั้ง 4 อำเภอ มีปริมาณระดับน้ำท่วมขังบ้านเรือนของราษฎร พื้นที่ทางการเกษตร ถนนหนทางสายหลักและภายในหมู่บ้าน สูงขึ้นจากวานนี้โดยเฉลี่ย 20-30 ซ.ม.โดยอยู่ในระดับ 110-130 ซ.ม. ยานพาหนะทุกชนิดไม่สามารถใช้การได้
แต่เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยของแต่ละอำเภอได้นำเรือท้องแบนออกให้บริการแก่ประชาชน ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปยังสู่โลกภายนอกแล้ว จากการตรวจสอบทั้ง 4 อำเภอ พบว่ามีภาวะน้ำท่วมขังจำนวนทั้งสิ้น 146 หมู่บ้าน 20 ตำบล ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,076 ครัวเรือน รวม 23,408 คน
นอกจากนี้ ผลพวงจากภาวะฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา และส่งผลทำให้ขบวนรถไฟ 14 ขบวน ที่วิ่งต้นทางจากสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก ปลายทางสถานีรถไฟนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และหัวลำโพง ที่ประกาศหยุดเดินรถทุกขบวนเป็นการฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 52 ที่ผ่านมา
เนื่องจากดินใต้ฐานของแนวกันทางของรางรถไฟที่สถานีรถไฟสะโลตราแดะ ม.1 ต.เฉลิม อ.ระแงะ ได้ทรุดตัวลงที่บริเวณหลักกิโลเมตร 1095 ถึงหลักกิโลเมตรที่ 1098 ซึ่งเป็นระยะทางกว่า 100 เมตร ยังซ่อมแซมไม่แล้วเสร็จ ต้องทำการหยุดเดินรถทั้ง 14 ขบวนติดต่อกันเป็นวันที่ 3 อีก และคาดว่าในวันพรุ่งนี้รถทั้ง 14 ขบวนจะทยอยวิ่งออกให้บริการแก่ประชาชนได้ตามปกติ
