ยะลา - แม่ทัพภาคที่ 4 เรียกผู้บริหารระดับสูงของพลเรือน ตำรวจ ทหารในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หารือเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบ
วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่บริเวณศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้ายะลา (ศปก.ตร.สน) และนายพระนาย สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้เรียกผู้บริหารดับสูงของพลเรือน ตำรวจ ทหารในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา มาประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาในปฏิบัติงานเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงปีที่ผ่านมาให้เกิดการบูรณาการการปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
โดยทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อจะได้ใช้แนวทางผลสรุปจากการประชุมในครั้งนี้มาแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เกิดความสงบสุขและสันติสุขกลับคืนมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็ว ทำความสงบให้เกิดประโยชน์สูงสุด นำสันติสุขกลับคืนมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็ว
พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ประณามการกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ก่อเหตุลอบวางระเบิด จักรยานยนต์บอมบ์ทั้ง 2 จุด ในพื้นที่ของ จ.ปัตตานี และ จ.ยะลา ว่าคนร้ายได้กระทำการเกิดกว่าเหตุซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ส่งผลกระทบแต่เพียงเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธหรือมุสลิมก็ต้องได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่บริเวณที่จอดรถหน้าซุปเปอร์ อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งมีเด็กและสตรีต้องได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าคนร้ายมีจิตใจที่โหดเหี้ยม กระทำการเกินกว่าเหตุ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ผู้บริสุทธิ์จะได้รับ
ดังนั้น จึงได้วิงวอนให้ประชาชนทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมใจในกาต่อต้านการกระทำดังกล่าวของกลุ่มคนร้าย เหตุการณ์ทีเกิดขึ้น ทั้ง 2 เหตุการณ์นั้น เป็นการตอบโต้อำนาจรัฐที่สามารถดึงมวลชนในพื้นที่ได้มากขึ้นโดยเฉพาะการที่กลุ่มแนวร่วมออกมารายงานตัวกับทางราชการเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญการแจ้งเบาะแส และ ขยายผลการจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุ
ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐว่าสามารถที่จะปกป้องและดูแลประชาชนในพื้นที่ให้ได้รับความปลอดภัยได้และขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา และ แจ้งเบาะแสการกระทำผิดของกลุ่มก่อความไม่สงบซึ่งหากพบเห็นบุคคลแปลกหน้า หรือ การกระทำอันก่อให้เกิดความไม่สงบในพื้นที่ขอให้แจ้งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ทราบโดยเร่งด่วน ทางหมายเลข 1341 หรือ 1881
พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้ายะลา กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าของคดี จยย.บอมบ์ที่บริเวณที่จอดรถ หน้าห้างซุปเปอร์ อ.เมือง จ.ปัตตานี และคาร์บอมบ์ที่บริเวณหน้าโรงแรมปาร์ควิว อ.เมือง จ.ยะลานั้นจากการสืบสวนสอบสวนข้างต้นก็พอที่จะมีข้อมูล พบว่าป้ายทะเบียนของรถยนต์เป็นป้ายปลอม ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลหลายอย่าง น่าจะรู้ตัวผู้ก่อเหตุอีกไม่นาน และคิดว่าจะสามารถจับผู้ต้องหาในเร็วๆ นี้
แต่ก็ต้องใช้เวลาในการปฏิบัติพอสมควร แต่ก็มีแนวทางในการปฏิบัติที่จะทำให้เห็นภาพของผู้ที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดง่ายขึ้น ซึ่งถ้าได้ดูพฤติกรรมของกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุแล้ว อาจจะเป็นกลุ่มที่ปฏิบัติการก่อเหตุร้ายต่างๆ ในเขตพื้นที่ อ.ยะรัง อ.หนองจิก และ อ.ยะหริ่ง ของ จ.ปัตตานี
สำหรับระเบิดคาร์บอมบ์ที่บริเวณหน้าโรงแรมปาร์ควิว อ.เมือง จ.ยะลา นั้น ระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพบข้อมูลหลักฐานพอสมควร จากผลของการตรวจทูมาร์ค พบว่า คาร์บอมบ์ ที่บริเวณหน้าโรงแรมปาร์ควิว เหมือนกับการก่อเหตุลอบวางระเบิดในเขตพื้นที่ จ.ยะลา 13 ครั้ง มีความเชื่อมโยงกันหลาย ๆ จุด
ส่วนผู้ต้องสงสัยที่สามารถควบคุมตัวได้ 2 คน ในพื้นที่หมู่ที่ 3 บ้านลำดา ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลานั้น ตนเองกำชับกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะต้องให้ความเป็นธรรมมากที่สุด
พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มอีกว่า ในช่วงของเทศการปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงนี้ตนเองได้สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมมือกับฝ่ายทหารและฝ่ายความมั่นคง ดูแลปฏิบัติงานควบคุมสถานการณ์ให้เรียบร้อย โดยจะแบ่งหน้าที่การรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการก่อเหตุร้ายต่างๆ ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ