ตรัง - ผู้ประกอบการกล้ายางพารารายใน จ.ตรัง เปิดเผยว่า สำหรับสถานการณ์ราคายางพาราที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งราคาไม้ยางพาราด้วยนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดการจำหน่ายกล้าพันธุ์ยางพารา และขณะนี้การซื้อขายกล้าพันธุ์ยางอยู่ในภาวะปกติ แต่ต้องรอดูทิศทางในระบบกลไกการตลาดโลกอีกด้วย
วันนี้ (3 พ.ย.) นายภราดร นุชิตศิริภัทรา ผู้จัดการแปลงเพาะพันธุ์กล้ายางนายขำ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการกล้ายางพารารายใหญ่ใน จ.ตรัง ตั้งอยู่บนถนนสายตรัง-ปะเหลียน ในเขตเทศบาลนครตรัง กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ราคายางพาราที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งราคาไม้ยางพาราด้วยนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดการจำหน่ายกล้าพันธุ์ยางพารา และขณะนี้การซื้อขายกล้าพันธุ์ยางโดยทั่วไปก็ยังคงอยู่ในภาวะปกติ โดยมีเกษตรกรมาหาซื้อกล้าพันธุ์ยางพาราอย่างต่อเนื่อง
จากการประเมินสถานการณ์ของความต้องการ กล้าพันธุ์ยางพาราของเกษตรกรในจังหวัดตรัง พบว่า ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ส่วนปริมาณต้นกล้ายางพาราที่มีอยู่ ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร ถึงแม้ว่าราคายางพาราจะตกต่ำลงก็ตาม โดยในขณะนี้ต้นกล้ายางพารามีราคาอยู่ที่ต้นละ 12-40 บาท ตามสายพันธุ์ ซึ่งพันธุ์กล้ายางพาราที่เกษตรให้ความนิยมมากที่สุด ได้แก่ พันธุ์ RRIM 600 พันธุ์ RRIT 251 พันธุ์ PB 235 และพันธุ์ PB 311
อย่างไรก็ตาม คาดว่า สถานการณ์กล้าพันธุ์ยางพารานั้น น่าจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2552 เนื่องจากต้องรอดูทิศทางในหลายด้าน เช่น สถานการณ์ราคาพืชผลทางด้านการเกษตร โดยหากราคาปาล์มน้ำมันขยับตัวขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ก็อาจทำให้เกษตรกรชาวสวนยางพารา ผันตัวไปทำสวนปาล์มน้ำมันแทน และอาจทำให้ราคากล้าพันธุ์ยางพาราต้องปรับลงเล็กน้อย แต่เชื่อว่าเกษตรกรส่วนใหญ่มีความเข้าใจในระบบกลไกการตลาดโลก และไม่รู้สึกวิตกกังวลต่อสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น