นครศรีธรรมราช - โจรกระจอกลักกระถางธูปหน้าอนุสาวรีย์ เจอปาฏิหาริย์ “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” นอนไม่เคยหลับหลังก่อเหตุยิ้มร่าสุดดีใจตำรวจตามจับได้-สารภาพหมดเปลือก
จากเหตุการณ์คนร้ายไม่ทราบจำนวนได้เข้าไปล้วงคองูเห่าโจรกรรมกระถางธูปขนาดใหญ่และแจกันเครื่องทองเหลือง ที่ตั้งอยู่หน้ารูปหล่อเคารพท้าวจตุคามรามเทพ และอนุสาวรีย์ขุนพันธรักษ์ราชเดช ที่ประดิษฐานและตั้งอยู่หน้ากองบังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ทั้งที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ายามรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ช่วงกลางดึกของวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีของตำรวจนครศรีธรรมราช และเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของชาวนครศรีธรรมราชอย่างกว้างขวาง จึงเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง รวมทั้งเป็นการหยามศักดิ์ศรีตำรวจอย่างรุนแรง
พ.ต.อ.สมชาย อ่วมถนอม รอง ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ผู้สร้างอนุสาวรีย์จตุคาม-รามเทพ และ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช บริเวณหน้า บก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ได้ตั้งรางวัลนำจับคนร้าย 10,000 บาท
ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น.ของวันนี้ (29 ต.ค.) พล.ต.ต.สราวุธ พีรานนท์ ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช พ.ต.อ.สมชาย อ่วมถนอม รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยชุดสืบสวน ได้คุมตัวนายจักรกฤช โปณะทอง อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 152/139 ถนนพะเนียด ต.คลัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช หลังจากถูกสืบทราบว่า เป็นผู้ก่อเหตุลักกระถางธูปดังกล่าว และได้นำไปสู่การออกหมายจับของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุมตัวได้หลังจากหลบหนีไปอาศัยอยู่กับพ่อเลี้ยงที่ ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากนั้นจึงนำไปติดตามของกลางที่โจรกรรมไป ซึ่งมีทั้งเครื่องทองเหลืองชนิดต่างๆ รวมทั้งระฆังสัมฤทธิ์ที่ถูกโจรกรรมจากวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยนายจักกฤษณ์อีกด้วย แล้วจึงนำตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
นายจักรกฤช โปณะทอง ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้โจรกรรมกระถางธูปหน้าอนุสาวรีย์จตุคาม-รามเทพ และ พล.ต.ต.ขุนพันธ์ หน้า บก.ภ.จว.นครศรีธรรมราชจริง โดยต้องหาการเงินเสียค่ารถโดยสารไปหางานทำที่บ้านพ่อเลี้ยงใน ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฏร์ธานี หลังก่อเหตุได้นำกระถางธูปทั้ง 2 ใบไปชั่งกิโลขาย ที่ร้านรับซื้อของเก่าของนายพิสิทธิ์ เพชรศรี ตั้งอยู่ริมถนนศรีธรรมราช หลังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในราคา 320 บาท ก่อนจะโดยสารรถบัสประจำทางหลบหนีไปอยู่บ้านพ่อเลี้ยงที่พื้นที่ ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฏร์ธานี จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัวได้
“ผมดีใจมากที่ถูกตำรวจจับได้ตั้งแต่ผมก่อเหตุผมไม่เคยนอนหลับเลย ต้องผวาอยู่ตลอด เวลานอนเห็นแต่รูปอนุสาวรีย์ของ พล.ต.ต.ขุนพันธ์ จ้องผมอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับอนุสาวรีย์นั้นเคลื่อนไหวได้แบบมีชีวิต แล้วจ้องหน้าผมตลอดเวลา จนผมเครียดอย่างหนัก คิดว่าจะเข้ามอบตัวแต่ตำรวจได้ตามมาจับตัวได้ก่อน ซึ่งผมจะเลิกโจรกรรมของแบบนี้โดยเด็ดขาดและยินดีรับผิดทุกอย่างรวมทั้งขอรับโทษที่เกิดขึ้นจากการกระทำของผม” ผู้ต้องหาสารภาพ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายจักกฤษณ์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณหน้าอนุสาวรีย์ขุนพันธรักษ์ราชเดช และองค์จตุคามรามเทพหน้า บก.ภ.นครศรีธรรมราช ปรากฏว่านายจักกฤษณ์ไม่กล้ามองไปยังใบหน้าของรูปหล่อ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช และองค์จตุคามรามเทพ ก่อนที่นายจักกฤษณ์จะบอกกับ พ.ต.อ.สมชาย อ่วมถนอม รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ว่าต้องการกราบขอขมา ซึ่งเมื่อนายจักกฤษณ์ได้กราบขอขมานั้นมีอาการตัวสั่นด้วยความเกรงกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกัน ในส่วนของผู้ที่รับซื้อของโจรคือ นายนายพิสิทธิ์ เพชรศรี เจ้าของร้านรับซื้อของเก่า ได้มีการสอบสวนปากคำนายพิสิทธิ์ ให้การรับสารภาพว่า ได้รับซื้อกระถางธูปทองเหลือง 2 ใบ จากนายจักรกฤช ผู้ต้องหาจริง และได้ชั่งกิโลขายต่อไปให้กับร้านรับซื้อของเก่าร้านใหญ่ใน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ในราคา 450 บาทเจ้าหน้าที่จึงไปตรวจสอบร้านรับซื้อของเก่าเลขที่ 6/5 หมู่ 7 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช โดยพบนางชลธิชา ปัญญาพล อายุ 48 ปี เจ้าของร้าน และจากการตรวจสอบภายในร้านพบกระถางธูปทองเหลือของกลางวางอยู่ยังไม่ได้หลอมหรือแปรสภาพ
นอกจากนี้ยังพบระฆังทองเหลืองขนาดใหญ่อีก 2 ใบ ทราบว่าเป็นระฆังของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ที่โดนโจรกรรมไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับกระถางธูป โดยทราบว่านายจักรกฤช ผู้ต้องหาเป็นคนโจรกรรมมาชั่งกิโลขายให้นายพิสิทธิ์ และนายพิสิทธิ์ช่างกิโลขายให้นางชลธิชา เช่นเดียวกับยกระถางธูป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการตรวจยึดกระถางธูปและระฆังไว้เป็นหลักฐาน พร้อมเชิญนางชลธิชา ปัญญาพล เจ้าของร้าน มาสอบสวนปากคำพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันลักทรัพย์และรับของโจร ส่วนนายพิสิทธิ์แจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบกับทางวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ทราบว่าที่ผ่านมามีคนร้ายโจรกรรมทรัพย์สินของวัดไปเป็นประจำ นอกจากระฆังทั้ง 2 ใบ แล้ว คนร้ายยังโจรกรรมเอากระดิ่งทองเหลือ และอื่นๆ ที่ห้อยแขวนไว้ตามจุดสำคัญต่างๆ ในบริเวณวัดพระมหาธาตุ ซึ่งบางครั้งทางวัดก็ไม่ได้แจ้งความกับตำรวจ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าคนร้ายคือนายจักรกฤช และพวกอีกหลายคน ซึ่งจะได้สอบสวนสืบสวนขยายผลติดตามจับกุมเพื่อนร่วมแก๊งของนายจักรกฤช มาดำเนินคดีต่อไป
ส่วนนายจักรกฤช ในเบื้องต้นได้ดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืน 2 คดีต่างกรรมต่างวาระกัน และหากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมในคดีอื่นๆ ก็จะแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป