ยะลา - กรรมการบริหารสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ชี้การทำงานของสื่อในสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เสี่ยงต่อชีวิตโดยตลอด เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีการก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง
จากกรณีที่เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมม์ตรงข้าม สภ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เมื่อคืนวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายคนและในจำนวนนี้มีผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำ จ.นราธิวาส คือนายชาลี บุญสวัสดิ์ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และนายผดุง วรรณลักษณ์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ประจำจังหวัดนราธิวาส ได้รับบาดเจ็บสาหัส นั้น
นายอับดุลการิม รามันห์สิริวงศ์ กรรมการบริหารสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย และผู้สื่อข่าว นสพ.เดลินิวส์ ประจำจังหวัดยะลา กล่าวว่า การสูญเสียบุคลากรสื่อมวลชนในครั้งนี้นับว่าเป็นสูญเสียครั้งสำคัญตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และเป็นการสูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพและมีความตั้งใจในการทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเดือนกันยายน 2550 มีนักข่าวในพื้นที่ จ.ยะลา เคยได้รับบาดเจ็บจากระเบิดลูกที่สอง ที่บริเวณหน้าร้านยะลาบุญศรี หน้าสถานีรถไฟยะลา จนเป็นเหตุให้ นายมะลูดิง ตีโด ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 7 จ.ยะลา และนายอะหมัด รามันห์สิริวงศ์ ผู้สื่อข่าว นสพ.เดลินิวส์และสถาบันอิสรา ประจำจังหวัดยะลา ได้รับบาดเจ็บสาหัส มาแล้วเช่นกัน
นายอับดุลการิม กล่าวอีกว่า การทำหน้าที่สื่อมวลชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานสูงมาก เนื่องจากนักข่าวทุกคนต้องการข้อมูลที่เป็นจริงด้วยตัวเองมากที่สุด ดังนั้น นักข่าวต้องพยายามที่จะเข้าไปยังจุดเกิดเหตุด้วยตนเอง ซึ่งบางครั้งยังไม่พอสำหรับการได้ข้อมูลจากการบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญความรับผิดชอบในหน้าที่สื่อ
โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์ที่ต้องหาภาพที่เกิดเหตุที่ดีที่สุดเพื่อนำเสนอต่อสาธารณชน การปฏิบัติงานของสื่อนั้นทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้พยายามกันไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าใกล้จุดเกิดเหตุมาโดยตลอด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำสอง แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นในความรับผิดชอบต่อหน้าที่สื่อ ผู้สื่อข่าวทุกคนได้พยายามที่จะเข้าไปยังเกิดเหตุให้ใกล้ที่สุด เพื่อให้ได้มาของภาพตามที่ต้องการของตนเองให้ดีที่สุด
ขณะเดียวกัน ทางกลุ่มคนร้ายได้พยายามปรับเปลี่ยนพัฒนายุทธวิธีการก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยที่ทุกฝ่ายไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุในจุดใดจุดหนึ่งในรัศมีที่ใกล้กับจุดเกิดเหตุครั้งแรก โดยเฉพาะการใช้คาร์บอมม์จากรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ อย่างกรณีที่เกิดเหตุในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลกในครั้งนี้ คนร้ายได้วางระเบิดที่มีคุณภาพต่ำในรถ จยย.เพื่อลวง จนท.และสื่อมวลชน เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ ในขณะเดียวกันคนร้ายได้วางระเบิดในรถยนต์อีกลูกหนึ่ง ซึ่งจอดอยู่ตรงกันข้ามกับจุดเกิดเหตุจุดแรก ทำให้ทุกคนไม่คาดว่าจะมีรถยนต์ที่จอดอยู่ห่างจากจุดแรกจะเป็นคาร์บอมม์
จากกรณีที่เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมม์ตรงข้าม สภ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เมื่อคืนวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายคนและในจำนวนนี้มีผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำ จ.นราธิวาส คือนายชาลี บุญสวัสดิ์ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และนายผดุง วรรณลักษณ์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ประจำจังหวัดนราธิวาส ได้รับบาดเจ็บสาหัส นั้น
นายอับดุลการิม รามันห์สิริวงศ์ กรรมการบริหารสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย และผู้สื่อข่าว นสพ.เดลินิวส์ ประจำจังหวัดยะลา กล่าวว่า การสูญเสียบุคลากรสื่อมวลชนในครั้งนี้นับว่าเป็นสูญเสียครั้งสำคัญตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และเป็นการสูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพและมีความตั้งใจในการทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเดือนกันยายน 2550 มีนักข่าวในพื้นที่ จ.ยะลา เคยได้รับบาดเจ็บจากระเบิดลูกที่สอง ที่บริเวณหน้าร้านยะลาบุญศรี หน้าสถานีรถไฟยะลา จนเป็นเหตุให้ นายมะลูดิง ตีโด ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 7 จ.ยะลา และนายอะหมัด รามันห์สิริวงศ์ ผู้สื่อข่าว นสพ.เดลินิวส์และสถาบันอิสรา ประจำจังหวัดยะลา ได้รับบาดเจ็บสาหัส มาแล้วเช่นกัน
นายอับดุลการิม กล่าวอีกว่า การทำหน้าที่สื่อมวลชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานสูงมาก เนื่องจากนักข่าวทุกคนต้องการข้อมูลที่เป็นจริงด้วยตัวเองมากที่สุด ดังนั้น นักข่าวต้องพยายามที่จะเข้าไปยังจุดเกิดเหตุด้วยตนเอง ซึ่งบางครั้งยังไม่พอสำหรับการได้ข้อมูลจากการบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญความรับผิดชอบในหน้าที่สื่อ
โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์ที่ต้องหาภาพที่เกิดเหตุที่ดีที่สุดเพื่อนำเสนอต่อสาธารณชน การปฏิบัติงานของสื่อนั้นทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้พยายามกันไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าใกล้จุดเกิดเหตุมาโดยตลอด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำสอง แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นในความรับผิดชอบต่อหน้าที่สื่อ ผู้สื่อข่าวทุกคนได้พยายามที่จะเข้าไปยังเกิดเหตุให้ใกล้ที่สุด เพื่อให้ได้มาของภาพตามที่ต้องการของตนเองให้ดีที่สุด
ขณะเดียวกัน ทางกลุ่มคนร้ายได้พยายามปรับเปลี่ยนพัฒนายุทธวิธีการก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยที่ทุกฝ่ายไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุในจุดใดจุดหนึ่งในรัศมีที่ใกล้กับจุดเกิดเหตุครั้งแรก โดยเฉพาะการใช้คาร์บอมม์จากรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ อย่างกรณีที่เกิดเหตุในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลกในครั้งนี้ คนร้ายได้วางระเบิดที่มีคุณภาพต่ำในรถ จยย.เพื่อลวง จนท.และสื่อมวลชน เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ ในขณะเดียวกันคนร้ายได้วางระเบิดในรถยนต์อีกลูกหนึ่ง ซึ่งจอดอยู่ตรงกันข้ามกับจุดเกิดเหตุจุดแรก ทำให้ทุกคนไม่คาดว่าจะมีรถยนต์ที่จอดอยู่ห่างจากจุดแรกจะเป็นคาร์บอมม์
