นครศรีธรรมราช - เรือคราดหอยจากสุราษฎร์ธานี ข้ามเขตคราดหอยเขตเมืองคอน เจอดีโดนกลุ่มชายฉกรรจ์ใช้เรือหางยาวไล่ต้อน-กราดยิงด้วยอาวุธปืนสงคราม ลูกเรือสังเวยเสียชีวิต 1 ราย-ไต๋ก๋งเรือแฉไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครอง เผย ชาวประมงชายฝั่งเมืองคอนแค้น-เรือคราดหอยต่างถิ่นสร้างความเสียหายรุนแรง
วันนี้ (21 ส.ค.) พ.ต.ท.คมสัน พฤศวานิช สารวัตรเวร สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี รับแจ้งจาก นายโสพัฒน์ มีศรี อายุ 28 ปี เจ้าของแพรุ่งเจริญกิจ เลขที่ 104/3 หมู่ 2 ต.บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ว่า เกิดเหตุเรือลากหอยถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงเข้าใส่ ทำให้มีลูกเรือเสียชีวิต 1 ราย เหตุเกิดที่บริเวณอ่าวปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช แต่หลังเกิดเหตุไต๋ก๋งเรือได้บังคับนำเรือหลบหนีกลับเข้าพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ขอให้ไปตรวจชันสูตรศพลูกเรือที่เสียชีวิต จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ และเดินทางไปตรวจสอบสภาพศพที่แพรุ่งเจริญกิจ พร้อมด้วย พ.ต.อ.บุญทวี โตรักษา ผกก. พ.ต.ท.วัชรศิริ ราชรักษ์ รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.วรวิทย์ เจริญศุภผล สว.สส.แพทย์เวรโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี
พบผู้เสียชีวิต เป็นแรงงานชาวพม่า ทราบเพียงชื่อเล่นว่า ลุง อายุประมาณ 50 ปี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามเข้าที่ลำตัวด้านซ้ายทะลุหน้าอก 1 นัด และจากการตรวจสอบเรือโชคมีศรี 7 พบร่องรอยถูกยิงด้วยกระสุนเข้าที่บริเวณตัวเรือหลายนัด โดยเฉพาะที่บริเวณเก๋งเรือถูกกระสุน 6 นัด กระจกแตก และพบหัวกระสุนปืนเล็กยาว (สงคราม)ไม่ทราบขนาด 1 นัด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน นายสำเริง ศรีตุ้มทอง อายุ 49 ปี ไต๋ก๋งเรือโชคมีศรี 7 เรือลำที่เกิดเหตุทราบว่า ออกเดินทางพร้อมด้วยลูกเรือ 12 คน พร้อมกับเรือโชคมีศรี 9 จาก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเข้าไปลากหอยแครงบริเวณปากนคร จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 21.30 น.วันที่ 20 ส.ค.ขณะกำลังลากหอยแครงอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 50 กม.พร้อมเรืออื่นๆ อีกประมาณ 10 ลำ สังเกตเห็นเรือหางยาว แล่นมาด้วยความเร็วสูง ภายในเรือมีชายฉกรรจ์ 4-5 คน และแล่นเข้าประชิดเรือ พร้อมกับระดมใช้อาวุธปืนยาว 2 ประบอก ซึ่งเป็นปืนสงครามยิงเข้าใส่ตัวเรือประมาณ 50-60 นัด โดยกระสุนเกือบทุกนัดพุ่งเป้าเข้าที่บริเวณเก๋งเรือ จนตนต้องหยุดบังคับเรือวิ่งลงไปหลบอยู่ที่พื้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที เสียงปืนจึงเงียบลง พร้อมกับเสียงเรือหางยาวของคนร้ายที่แล่นออกไป และพบว่ามีลูกเรือชาวพม่าถูกกระสุนปืนเสียชีวิต 1 ราย จึงรีบวิทยุแจ้งให้เจ้าของเรือทราบ ก่อนจะรีบนำเรือแล่นกลับ จ.สุราษฎร์ธานี
นายสำเริง กล่าวด้วยว่า ส่วนสาเหตุคาดว่าอาจจะถูกเรียกค่าคุ้มครอง เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนทราบข่าวจากไต๋ก๋งเรือลำอื่นๆ ว่า จะต้องจ่ายเงินรายเดือนให้กับเจ้าถิ่นในบริเวณทะเลแถบนั้น และการเข้าไปลากหอยที่บริเวณปากนครของเรือโชคมีศรี 7 และ 9 เป็นการเข้าไปครั้งแรก และมั่นใจว่า ได้ทำการลากหอยนอกเขตตามที่กฎหมายกำหนด
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ได้บันทึกชันสูตรศพ และตรวจสอบสภาพเรือ ก่อนแนะนำให้เจ้าของเรือเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไป ขณะเดียวกันได้รายงานเหตุการณ์ให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทราบตามลำดับชั้นแล้วขณะที่นายโสพัฒน์ มีศรี เจ้าของเรือ เตรียมเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัยจากอิทธิพลมืด
ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช รายงานว่า จากการตรวจสอบไปยัง พ.ต.อ.ญาณพัฒน์ นรสิงห์ ผกก.สภ.เมือง นครศรีธรรมราช ได้ยืนยันว่า ยังไม่ได้รับแจ้งเหตุการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด และทราบว่า ไต๋ก๋งเรือโชคมีศรี 7 ระบุว่า เกิดเหตุขณะเกิดเหตุอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 50 กิโลเมตร จึงค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ใช่เขตรับผิดชอบของ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราชอย่างแน่นอน อาจจะเป็นเขต อ.ปากพนัง หรือ อ.ท่าศาลา ก็ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบไปยัง สภ.ปากพนัง และ สภ.ท่าศาลา ปรากฏว่า ทั้งสองแห่งยังไม่ได้รับทราบหรือรับแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมเข้ามาว่า ปัญหาเรือประมงคราดหอยจากจังหวัดสุราษฏร์ธานีและจากจังหวัดอื่นๆ ที่เข้ามาคราดหอยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งถือเป็นแหล่งหอยที่ชุกชุมและคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย จะอยู่ตลอดแนวชายฝั่งตั้งแต่ 1,000 เมตรออกไป ได้สร้างความเสียหายให้กับทรัพยากรชายฝั่งเป็นอย่างรุนแรง เนื่องจากกลุ่มเรือประมงคราดหอยใช้ตะแกรงเหล็กตาถี่และคราดลึกลงไปในดินนับ 10 เมตร ทำให้กลุ่มชาวประมงชายฝั่งในพื้นที่ไม่พอใจกลุ่มเรือประมงคราดหอยจากต่างถิ่นเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากทรัพยากรชายฝั่งเสียหายอย่างรุนแรงแล้ว อวนและอุปกรณ์การจับสัตว์น้ำของชาวประมงชายฝั่งที่วางไว้ตลอดแนวชายฝั่งได้รับความเสียหายยับเยินตลอดแนวชายฝั่งตั้งแต่เขตพื้นที่ อ.ขนอม-อ.ปากพนัง โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.ท่าศาลา ได้รับความเสียหายมากที่สุด จนชาวประมงชายฝั่งในพื้นที่ อ.ท่าศาลา รวมตัวประท้วงกับทางจังหวัดนครศรีธรรมราช จนมีการจัดเจ้าหน้าที่ออกไล่กวดจับกุม แต่จับกุมได้ยากมากเพราะเรือคราดหอยส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะดีกว่าของเจ้าหน้าที่และเรือคราดหอย 1 ลำ ยังใช้เครื่องยนต์ถึง 2 เครื่อง จึงสามารถหลบหนีไปได้ทุกครั้ง
“เมื่อมีการตรวจสอบในช่วงกลางวัน ก็พบว่า บรรดาเรือคราดหอยนับ 100 ลำ จะจอดหลบอยู่ในอ่าวเขตพื้นที่ อ.ขนอม รอออกคราดหอยในช่วงกลางคืน ชาวประมงชายฝั่งได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเพื่อเข้าไปจับกุม แต่ทางประมงจังหวัดนครศรีธรรมราชอ้างว่าไม่สามารถจับกุมได้เพราะไม่อยู่ในช่วงที่กระทำผิด จะจับกุมได้ก็ต่อมาเรือคราดหอยออกคาดหอยซึ่งเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้าเท่านั้น สร้างความไม่พอใจให้กับชาวประมงพื้นบ้านเป็นอย่างมาก จึงมีการรวมตัวกันจัดหาอาวุธนานาชนิดมาจัดเวรยามเฝ้าระวังขับไล่เรือคราดหอยกันเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงต้อนปี 2551 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเรือคราดหอยได้จำนวนหนึ่ง นำมาสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีโดยมีชาวประมงชายฝั่งนับร้อยรายร่วมแจ้งความในฐานะผู้เสียหาย เจ้าของเรือประมงที่ถูกจับกุมต้องยินยอมชดใช้ค่าเสียหายนับล้านบาท สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มชาวประมงชายฝั่งในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ออกตรวจการณ์พบเรือประมงคราดหอยลักลอบเข้ามาคราดหอยในเขตห่วงห้าม 3,000 เมตร จึงขับไล่และใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มจนทำให้คนลูกเรือประมงคราดหอยเสียชีวิต 1 รายดังกล่าว
สำหรับพื้นที่อ่าวปากนคร น่านน้ำอ่าวไทย ในเขต อ.เมือง นครศรีธรรมราช ในอดีตมีการเลี้ยงหอยทั้งแบบธรรมชาติและแบบพัฒนา โดยกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังในจังหวัด ถือเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญในพื้นที่ฝั่งทะเลดังกล่าว เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติคือหอย และสัตว์น้ำชุกชุม กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นผู้มีอิทธิพลได้ประกาศเขตของตัวเองในทะเล ด้วยการติดธงสีแดงไว้ในทะเล ชาวบ้านเรียกกันว่า “เขตธงแดง” ซึ่งเขตดังกล่าวห้ามไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดรุกล้ำเข้าไปทำประมง หากไม่ได้รับอนุญาตจากกลุ่มอิทธิพลดังกล่าว จนทางทหารและตำรวจต้องเข้าไปกวาดล้างจับกุม
วันนี้ (21 ส.ค.) พ.ต.ท.คมสัน พฤศวานิช สารวัตรเวร สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี รับแจ้งจาก นายโสพัฒน์ มีศรี อายุ 28 ปี เจ้าของแพรุ่งเจริญกิจ เลขที่ 104/3 หมู่ 2 ต.บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ว่า เกิดเหตุเรือลากหอยถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงเข้าใส่ ทำให้มีลูกเรือเสียชีวิต 1 ราย เหตุเกิดที่บริเวณอ่าวปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช แต่หลังเกิดเหตุไต๋ก๋งเรือได้บังคับนำเรือหลบหนีกลับเข้าพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ขอให้ไปตรวจชันสูตรศพลูกเรือที่เสียชีวิต จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ และเดินทางไปตรวจสอบสภาพศพที่แพรุ่งเจริญกิจ พร้อมด้วย พ.ต.อ.บุญทวี โตรักษา ผกก. พ.ต.ท.วัชรศิริ ราชรักษ์ รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.วรวิทย์ เจริญศุภผล สว.สส.แพทย์เวรโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี
พบผู้เสียชีวิต เป็นแรงงานชาวพม่า ทราบเพียงชื่อเล่นว่า ลุง อายุประมาณ 50 ปี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามเข้าที่ลำตัวด้านซ้ายทะลุหน้าอก 1 นัด และจากการตรวจสอบเรือโชคมีศรี 7 พบร่องรอยถูกยิงด้วยกระสุนเข้าที่บริเวณตัวเรือหลายนัด โดยเฉพาะที่บริเวณเก๋งเรือถูกกระสุน 6 นัด กระจกแตก และพบหัวกระสุนปืนเล็กยาว (สงคราม)ไม่ทราบขนาด 1 นัด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน นายสำเริง ศรีตุ้มทอง อายุ 49 ปี ไต๋ก๋งเรือโชคมีศรี 7 เรือลำที่เกิดเหตุทราบว่า ออกเดินทางพร้อมด้วยลูกเรือ 12 คน พร้อมกับเรือโชคมีศรี 9 จาก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเข้าไปลากหอยแครงบริเวณปากนคร จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 21.30 น.วันที่ 20 ส.ค.ขณะกำลังลากหอยแครงอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 50 กม.พร้อมเรืออื่นๆ อีกประมาณ 10 ลำ สังเกตเห็นเรือหางยาว แล่นมาด้วยความเร็วสูง ภายในเรือมีชายฉกรรจ์ 4-5 คน และแล่นเข้าประชิดเรือ พร้อมกับระดมใช้อาวุธปืนยาว 2 ประบอก ซึ่งเป็นปืนสงครามยิงเข้าใส่ตัวเรือประมาณ 50-60 นัด โดยกระสุนเกือบทุกนัดพุ่งเป้าเข้าที่บริเวณเก๋งเรือ จนตนต้องหยุดบังคับเรือวิ่งลงไปหลบอยู่ที่พื้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที เสียงปืนจึงเงียบลง พร้อมกับเสียงเรือหางยาวของคนร้ายที่แล่นออกไป และพบว่ามีลูกเรือชาวพม่าถูกกระสุนปืนเสียชีวิต 1 ราย จึงรีบวิทยุแจ้งให้เจ้าของเรือทราบ ก่อนจะรีบนำเรือแล่นกลับ จ.สุราษฎร์ธานี
นายสำเริง กล่าวด้วยว่า ส่วนสาเหตุคาดว่าอาจจะถูกเรียกค่าคุ้มครอง เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนทราบข่าวจากไต๋ก๋งเรือลำอื่นๆ ว่า จะต้องจ่ายเงินรายเดือนให้กับเจ้าถิ่นในบริเวณทะเลแถบนั้น และการเข้าไปลากหอยที่บริเวณปากนครของเรือโชคมีศรี 7 และ 9 เป็นการเข้าไปครั้งแรก และมั่นใจว่า ได้ทำการลากหอยนอกเขตตามที่กฎหมายกำหนด
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ได้บันทึกชันสูตรศพ และตรวจสอบสภาพเรือ ก่อนแนะนำให้เจ้าของเรือเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไป ขณะเดียวกันได้รายงานเหตุการณ์ให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทราบตามลำดับชั้นแล้วขณะที่นายโสพัฒน์ มีศรี เจ้าของเรือ เตรียมเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัยจากอิทธิพลมืด
ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช รายงานว่า จากการตรวจสอบไปยัง พ.ต.อ.ญาณพัฒน์ นรสิงห์ ผกก.สภ.เมือง นครศรีธรรมราช ได้ยืนยันว่า ยังไม่ได้รับแจ้งเหตุการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด และทราบว่า ไต๋ก๋งเรือโชคมีศรี 7 ระบุว่า เกิดเหตุขณะเกิดเหตุอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 50 กิโลเมตร จึงค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ใช่เขตรับผิดชอบของ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราชอย่างแน่นอน อาจจะเป็นเขต อ.ปากพนัง หรือ อ.ท่าศาลา ก็ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบไปยัง สภ.ปากพนัง และ สภ.ท่าศาลา ปรากฏว่า ทั้งสองแห่งยังไม่ได้รับทราบหรือรับแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมเข้ามาว่า ปัญหาเรือประมงคราดหอยจากจังหวัดสุราษฏร์ธานีและจากจังหวัดอื่นๆ ที่เข้ามาคราดหอยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งถือเป็นแหล่งหอยที่ชุกชุมและคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย จะอยู่ตลอดแนวชายฝั่งตั้งแต่ 1,000 เมตรออกไป ได้สร้างความเสียหายให้กับทรัพยากรชายฝั่งเป็นอย่างรุนแรง เนื่องจากกลุ่มเรือประมงคราดหอยใช้ตะแกรงเหล็กตาถี่และคราดลึกลงไปในดินนับ 10 เมตร ทำให้กลุ่มชาวประมงชายฝั่งในพื้นที่ไม่พอใจกลุ่มเรือประมงคราดหอยจากต่างถิ่นเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากทรัพยากรชายฝั่งเสียหายอย่างรุนแรงแล้ว อวนและอุปกรณ์การจับสัตว์น้ำของชาวประมงชายฝั่งที่วางไว้ตลอดแนวชายฝั่งได้รับความเสียหายยับเยินตลอดแนวชายฝั่งตั้งแต่เขตพื้นที่ อ.ขนอม-อ.ปากพนัง โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.ท่าศาลา ได้รับความเสียหายมากที่สุด จนชาวประมงชายฝั่งในพื้นที่ อ.ท่าศาลา รวมตัวประท้วงกับทางจังหวัดนครศรีธรรมราช จนมีการจัดเจ้าหน้าที่ออกไล่กวดจับกุม แต่จับกุมได้ยากมากเพราะเรือคราดหอยส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะดีกว่าของเจ้าหน้าที่และเรือคราดหอย 1 ลำ ยังใช้เครื่องยนต์ถึง 2 เครื่อง จึงสามารถหลบหนีไปได้ทุกครั้ง
“เมื่อมีการตรวจสอบในช่วงกลางวัน ก็พบว่า บรรดาเรือคราดหอยนับ 100 ลำ จะจอดหลบอยู่ในอ่าวเขตพื้นที่ อ.ขนอม รอออกคราดหอยในช่วงกลางคืน ชาวประมงชายฝั่งได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเพื่อเข้าไปจับกุม แต่ทางประมงจังหวัดนครศรีธรรมราชอ้างว่าไม่สามารถจับกุมได้เพราะไม่อยู่ในช่วงที่กระทำผิด จะจับกุมได้ก็ต่อมาเรือคราดหอยออกคาดหอยซึ่งเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้าเท่านั้น สร้างความไม่พอใจให้กับชาวประมงพื้นบ้านเป็นอย่างมาก จึงมีการรวมตัวกันจัดหาอาวุธนานาชนิดมาจัดเวรยามเฝ้าระวังขับไล่เรือคราดหอยกันเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงต้อนปี 2551 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเรือคราดหอยได้จำนวนหนึ่ง นำมาสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีโดยมีชาวประมงชายฝั่งนับร้อยรายร่วมแจ้งความในฐานะผู้เสียหาย เจ้าของเรือประมงที่ถูกจับกุมต้องยินยอมชดใช้ค่าเสียหายนับล้านบาท สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มชาวประมงชายฝั่งในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ออกตรวจการณ์พบเรือประมงคราดหอยลักลอบเข้ามาคราดหอยในเขตห่วงห้าม 3,000 เมตร จึงขับไล่และใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มจนทำให้คนลูกเรือประมงคราดหอยเสียชีวิต 1 รายดังกล่าว
สำหรับพื้นที่อ่าวปากนคร น่านน้ำอ่าวไทย ในเขต อ.เมือง นครศรีธรรมราช ในอดีตมีการเลี้ยงหอยทั้งแบบธรรมชาติและแบบพัฒนา โดยกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังในจังหวัด ถือเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญในพื้นที่ฝั่งทะเลดังกล่าว เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติคือหอย และสัตว์น้ำชุกชุม กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นผู้มีอิทธิพลได้ประกาศเขตของตัวเองในทะเล ด้วยการติดธงสีแดงไว้ในทะเล ชาวบ้านเรียกกันว่า “เขตธงแดง” ซึ่งเขตดังกล่าวห้ามไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดรุกล้ำเข้าไปทำประมง หากไม่ได้รับอนุญาตจากกลุ่มอิทธิพลดังกล่าว จนทางทหารและตำรวจต้องเข้าไปกวาดล้างจับกุม