รายงานโดย...ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
สิ้นเสียงคำปราศรัยในค่ำคืนวันที่ 2 สิงหาคม 2551 ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บนเวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กรุงเทพมหานคร ที่ได้ชี้ให้เห็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในการแก้ “วิกฤตไฟใต้” ของรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณได้เพียงแค่ประมาณ 40 นาทีเท่านั้น
เสียงระเบิดที่ดังไล่เลี่ยกันรวม 7 จุดที่ถูกลอบวางแบบปูพรมในเขต 2 เทศบาลนครที่ใกล้ชิดติดกัน คือ “นครสงขลา” และ “นครหาดใหญ่” อันเป็นหัวเมืองหลักทางเศรษฐกิจ หรือเสมือนเมืองหลวงแห่งภาคใต้ตอนล่าง ก็กังวานก้องและได้ยินไปถึงที่ชุมนุมใหญ่ ณ สะพานมัฆวานรังสรรค์ ในช่วงค่ำคืนวันเดียวกันนั้น
เป็นเหมือนการตอกย้ำความเป็น “พ่อหมอ” ของนายสนธิ ที่มักจะชี้ทิศทางความเป็นไปของบ้านเมืองได้แบบไม่ค่อยผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งเขาได้ชี้ว่าการกระทำที่เลวร้ายของคนในอำนาจรัฐต่อแผ่นดินชายแดนใต้ มีแต่จะเป็นการดับไฟใต้ด้วยการราดน้ำมันเบนซินเข้าไปในกองเพลิงเท่านั้น
ทั้งนี้ เนื่องจากการปราศรัยของนายสนธิ ในค่ำคืนนั้น ช่วงหนึ่งได้ฝากถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เนื่องจากมีข่าวว่า ได้มีคำสั่งให้ขนอุปกรณ์ดักฟังทางโทรศัพท์จากที่ใช้แก้ปัญหาในพื้นที่ชายแดนภาคใต้อยู่ กลับเข้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อไปใช้ดักฟังพันธมิตรฯ พร้อมกับย้ำว่าถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงแล้ว ถือว่าเป็นการกระทำที่เลวทรามต่ำช้ามาก เพราะถือเป็นการเอาเครื่องช่วยชีวิตของพี่น้องทหาร-ตำรวจในชายแดนใต้ไปช่วยพวกเอี้ย...ที่นั่งในทำเนียบรัฐบาล
นอกจากนี้แล้ว ภายหลังเกิดเหตุระเบิดทั่วเขตนครสงขลา และนครหาดใหญ่ได้ไม่นาน ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้หยิบยกปัญหาไฟใต้ขึ้นไปปราศรัยบนเวทีชุมนุมของพันธมิตรฯด้วยเช่นกัน และแทบทุกคำพูดได้แทงเข้าไปในใจของพี่น้องประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเหมือนเป็นการพูดแทนความรู้สึกของคนปักษ์ใต้ลูกสะตอที่มีต่อรัฐบาลนอมินีชุดนี้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลนี้ไม่เคยให้ความสำคัญหรือใส่ใจแก้ปัญหาไฟใต้แม้แต่น้อย
กว่า 4 เดือนของรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่แทบไร้เงานายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ชายแดนใต้ไปตรวจตราติดตามการแก้ปัญหา และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงพี่น้องประชาชนที่นั่น
ทว่า กลับมีข่าวสู้ไม่ค่อยจะเป็นผลดีนักจากฝีมือรัฐบาลที่มีต่อพี่น้องชาวไทยชายแดนใต้เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งล่าสุดคือ การโยกย้ายเครื่องดักฟังโทรศัพท์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเคยประจำการอยู่ในชายแดนใต้ กลับให้นำไปดักฟังการสนทนาโทรศัพท์ของพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมกันอยู่ในกรุงเทพฯ อันเป็นการละเมิดสิทธิ์และละทิ้งหน้าที่อย่างน่าละอาย
สำหรับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นแบบปูพรมถึง 7 จุดในครั้งนี้เบื้องต้นมีข้อมูลที่เชื่อได้ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบที่ลุกลามมาจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเกิดขึ้นในเขตเทศบาลนครนครสงขลารวม 5 จุด ได้แก่บริเวณร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น 3 สาขาคือ สาขาถนนประท่า สาขาถนนทะเลหลวง สาขาถนนรามวิถี บริเวณป้อมจุดตรวจถนนวชิรา และบริเวณหน้าร้านอาหารด็อกเตอร์คูล ริมถนนชลาทัศน์ ส่วนในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่มี 2 จุดคือ บริเวณร้านน้ำชาลุงเจิมริมถนนเพชรเกษม กับร้านเซเว่น-อีเลฟเว่นริมถนนราษฎร์อุทิศ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ร้านรวงที่ถูกลอบวางระเบิดนั้น ล้วนอยู่ในย่านเศรษฐกิจสำคัญของเมืองทั้งสิ้น แม้พลานุภาพของระเบิดจะสร้างความเสียหายไม่มากเท่าใดนัก และมีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็ตาม แต่ในเรื่องของเศรษฐกิจการค้า การลงทุน และโดยเฉพาะการท่องเที่ยว แม้จะยังไม่มีตัวเลขชี้ชัด แต่ก็เชื่อกันว่าจะมากมายขยายวงต่อเนื่องเป็นความสูญเสียในระยะยาวที่ยากจะประเมินได้ ซึ่งก็คงไม่แตกต่างจากเหตุการณ์ลอบบึ้มเมืองสงขลา - หาดใหญ่มาแล้ว 3 ระลอก ในรอบเกือบ 5 ปีของไฟใต้ที่ลุกโชนขึ้นครั้งใหม่นับแต่เหตุการณ์ปล้นปืนในค่ายทหารที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ที่ผ่านมา
ย้อนเหตุกลุ่มผู้ไม่หวังดีลอบวางบึ้มถล่มเมืองสงขลา-หาดใหญ่หลังไฟใต่คุกรุ่นระลอกใหม่ หนแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2548 เวลาประมาณ 20.15 น. เกิดเหตุระเบิด 3 จุดกลางเมืองสงขลา-หาดใหญ่ ประกอบด้วย ภายในสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ บริเวณห้างคาร์ฟูร์ สาขาหาดใหญ่ และโรงแรมกรีนเวิลด์กลางเมืองสงขลา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บอีกหลายสิบราย หนึ่งในเหยื่อผู้บาดเจ็บสาหัสคือ “น้องแทน” หรือ “น้องฮ่องเต้” ด.ช.พัชรพล เจริญศิลป์ วัย 4 ขวบ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์นั่นเอง
หนที่สองเกิดขึ้นในวันที่ 16 กันยายน 2549 อันเป็นวันครบรอบวันก่อตั้ง กลุ่มขบวนการมูจาฮีดีน อิสลามปัตตานี เวลา 21.19 น. เกิดเหตุระเบิดไล่เลี่ยกัน 5 จุดในเมืองหาดใหญ่ ประกอบด้วย ประตูทางเข้าออกห้างสรรพสินค้าโอเดี้ยน ชอปปิ้งมอลล์ ซึ่งจุดนี้ได้รับความเสียหายหนักที่สุด เนื่องจากเกิดเพลิงลุกไหม้ตามมา, ห้องน้ำโรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้าไดอาน่า ดีพาร์ทเม้นสโตร์, ผับดีพวอร์เนอร์ ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าโอเดี้ยน, ร้านนิวเชอร์รี่นวดแผนโบราณ และตู้เอทีเอ็มหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี เหตุการณ์ในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 4 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 60 ราย
ภาพเปลวเพลิงโหมไหม้รถตุ๊กตุ๊ก หลังเกิดเหตุระเบิด และภาพผู้ประสบเหตุทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติยังคงติดตาผู้คนจำนวนมาก นอกจากจะเป็นการพิสูจน์ประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิด ซึ่งไม่สามารถจับภาพใบหน้าของคนร้ายได้แล้ว ทำให้เทศบาลนครนครหาดใหญ่เจ้าของพื้นที่เร่งของบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงมหาดไทย เพื่อติดตั้งกล้องวงจรปิดที่สามารถมองเห็นแม้เวลากลางคืน รวมกว่า 100 จุดทั่วเขตเทศบาลเพื่อป้องกันเหตุร้าย
นอกจากนี้แล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิวาชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และพระองค์เจ้าทีปังกรฯ ได้เสด็จเยี่ยมพี่น้องประชาชนชาวหาดใหญ่หลังสิ้นเสียงระเบิดเพียงข้ามคืนเท่านั้น
ส่วนหนที่สาม เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2550 เวลาประมาณ 21.00 น. ได้เกิดระเบิดรวม 7 จุดกลางเมืองหาดใหญ่เป็นหลัก ประกอบด้วยหน้ามูลนิธิเซียงตึ้ง, ห้องน้ำร้านอาหารนายหนัง, ศาลพระภูมิหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี, หน้าโรงแรมการ์เด็นท์โฮม, หน้าโรงแรม เจ.บี.หาดใหญ่, หน้าห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส และหน้าร้านหมอยาเภสัช
ความรุนแรงและความถี่ของเหตุระเบิดในครั้งนี้ได้ทำลายขวัญและกำลังใจของพี่น้องประชาชนชาวหาดใหญ่เป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องประสบเหตุร้ายถึง 3 ปีติดต่อกัน ด้วยรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงและดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง ทำให้กลุ่มก่อความไม่สงบประกาศศักดาขยายพื้นที่ก่อเหตุเข้าสู่หัวเมืองหลักของภาคใต้ตอนล่างได้อย่างต่อเนื่อง
มีข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า จากปัญหาวิกฤตใต้ที่ขยายมาสู่เมืองสงขลาและเมืองหาดใหญ่นับแต่ห้วงปี 2547-2549 ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในหาดใหญ่ลดลงเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2548 ถือว่าเป็นที่สุดของความย่ำแย่
ทั้งนี้ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ เขต 1 ได้รายงานตัวเลขการเติบโตยอดนักท่องเที่ยวในปี 2548 ติดลบและมีรายได้จากการท่องเที่ยววูบลงกว่า 3,000 ล้านบาท เหลือเพียง 1.1 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่สถานการณ์ปกติจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเฉลี่ยกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท
โดยสถานการณ์ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย รวมถึงประเทศในภูมิภาคแถบนี้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของหาดใหญ่-สงขลา นักท่องเที่ยวเหล่านี้เพิ่งจะเรียกความมั่นใจได้เมื่อปี 2551 นี้เอง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากในช่วงเทศกาลวันหยุด ทั้งปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ ทำให้ยอดเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นราว 70% ต่างจากช่วงเกิดเหตุระเบิดในปีแรกที่วูบเหลือ 30%
แต่ก็น่าเศร้าใจที่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ประชาชนได้รู้ดีว่านับแต่นี้ต่อไปนอกจากต้องดิ้นรนทำงานเลี้ยงปากท้องท่ามกลางเศรษฐกิจที่ซบเซาแล้วก็ยังไม่สามารถพึ่งพิงการดูแลจากภาครัฐ ซึ่งยังไม่สิ้นระบอบทรราชที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง มากกว่าใส่ใจความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนอีกด้วย
ด้านทิศทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบนั้น ต้องอาศัยยุทธศาสตร์และแรงขับเคลื่อนของรัฐบาลที่มีความจริงใจ เข้าใจปัญหา แต่เมื่อพื้นที่ภาคใต้ที่ไม่ได้เป็นฐานเสียงของรัฐบาลของระบอบทักษิณ เมื่อสู่ยุครัฐบาลนอมินี อันมาจากการเลือกตั้งก็มุ่งเน้นแก้ปัญหาพรรคการเมือง มากกว่าปัญหาชาติ นอกจากปัญหาความไม่สงบทั้งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ไม่มีทางคลี่คลายแล้วยังเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะหัวเมืองเศรษฐกิจใต้ตอนล่างจะกลายเป็นปัญหาใหม่ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคตอีกด้วย
จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ตาม เกิดเหตุระเบิดปูพรมถึง 7 จุดกลางเมืองสงขลาและเมืองหาดใหญ่หนนี้เป็นเหมือนการต้อนรับการกลับมามีอำนาจรัฐอีกครั้งของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีต ผบ.ตร.ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ ซึ่งเพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช 4 ล่าสุด
สำหรับ พล.ต.อ.โกวิท เองเคยสร้างประวัติศาสตร์ไว้ให้อก่พี่น้องประชาชนต้องจดจำกันอย่างยากจะรู้ลืมมาแล้ว เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ช่วงสิ้นปี 2549 ได้เดินทางมาตรวจราชการพื้นที่ชายแดนใต้ โดยคืนวันที่ 31 ธันวาคม ได้เกิดเหตุระเบิดป่วนใจกลางกรุงเทพฯ ทว่าเขากลับเลือกที่จะร้องคาราโอเกะอยู่ในโรงแรม เจ.บี.หาดใหญ่ต่อไปกว่าจะเดินทางเข้าไปดูแลเรื่องระเบิดป่วนกรุงเทพฯ ก็ทิ้งช่วงเวลาพ้นวันฉลองปีใหม่ไปแล้ว
ระเบิดถล่มเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้ตอนล่าง 3 ระลอกที่ผ่านมาชาวสงขลา-หาดใหญ่ไม่เคยได้เห็นแม้เพียงเงาของผู้นำรัฐบาล ซึ่งสมัยนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือรัฐมนตรีในระบอบทักษิณ ที่รับผิดชอบโดยตรง
เหตุระเบิด 7 จุดทั่วเมืองสงขลา-หาดใหญ่ในครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ผู้นำรัฐบาล หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือไม่ก็ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่พี่น้องประชาชน
ทว่า ผ่านเข้าวันที่ 5 (7 ส.ค.) หลังเกิดเหตุล่วงมาแล้ว ชาวหาดใหญ่-สงขลาก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะได้สัมผัสแม้เพียงเงาของเหล่าผู้นำรัฐบาลชุดนี้เลยแม้แต่น้อย