กระบี่ - นายกสมาคมประมงจังหวัดกระบี่ แนะทางออกประมงพาณิชย์ แก้วิกฤตน้ำมันแพง เลี้ยงปลากระชังทำอาชีพเสริม
นายมานิต ดำกุล นายกสมาคมชาวประมงจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จากที่ภาวะราคาของน้ำมันได้ขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนราคาเกือบทะลุ 40 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์หลายราย ต้องจอดเรือหยุดออกจับปลาแล้วกว่า 100 ลำ เนื่องจากประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก กับต้นทุนน้ำมันที่แพงสูงขึ้น ในส่วนของผู้ประกอบการที่ยังคงออกจับปลาอยู่ในขณะนี้มีอยู่ประมาณไม่ถึง 10 ราย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นผู้ประกอบการที่มีทุนหนา ถึงแม้ว่าบางครั้งจะขาดทุนบ้าง แต่ก็ยังมีทุนสำรองที่จะเลี้ยงตัวเองให้สามารถประกอบกิจการต่อไปได้
นายกสมาคมชาวประมงจังหวัดกระบี่ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ที่มีทุนน้อย ทางออกที่ดีที่สุดหากคิดว่าจะประกอบอาชีพประมงต่อไปก็ควรจะมีอาชีพอื่นเสริมด้วย ทั้งการการเลี้ยงปลากระชัง และการทำประมงพื้นบ้านที่ใช้เงินลงทุนน้อย ถึงแม้ว่ารายได้อาจจะไม่เป็นกอบเป็นกำ แต่ก็พอที่จะเลี้ยงชีพและครอบครัวได้อย่างไม่เดือดร้อน ซึ่งก็ได้แนะนำให้ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์บางรายที่หยุดเรือออกจับปลา หันมาเลี้ยงปลากระชังเป็นอาชีพเสริม ในส่วนของเงินทุนนั้นทางสมาคมประมงฯพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพช่วยหาทุนให้ในกรณีที่ชาวประมงไม่มีทุน
“สำหรับปลาที่เลี้ยงในกระชังนั้น ไม่ว่าจะเป็นปลาเก๋า หรือปลากะพง กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจำนวนปลาที่เลี้ยงอยู่ในปัจจุบันก็ไม่เพียงพอกับความต้องการซึ่งหากว่าชาวประมงหันมาเลี้ยงปลากระชังและออกเรือจับปลาไปด้วย ก็จะสามารถแบ่งเบาภาระในส่วนที่ขาดทุนได้ หรือหากว่าจะหันมาเลี้ยงปลากระชังเพียงอย่างเดียวก็จะเป็นเรื่องดี เพราะจะได้ลดความเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุน จากภาวะน้ำมันแพงลงได้ ซึ่งเท่าที่ได้มีการพูดคุยกันหลายรายก็ให้ความสนใจ และพร้อมที่จะเปลี่ยนอาชีพ”
นายมานิต กล่าวด้วยว่า ในส่วนของเรือประมงพาณิชย์ ที่หยุดออกจับปลาหากว่าภาครัฐจะเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของการจัดซื้อเรือได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะปล่อยทิ้งไว้ก็จะเป็นภาระของชาวประมง และชาวประมงเองก็จะได้นำเงินที่ขายเรือมาเป็นทุนในการประกอบอาชีพเลี้ยงปลาต่อไป และว่าในส่วนของน้ำมันม่วงที่ภาครัฐชดเชยให้ลิตรละ 2 บาทในความเป็นจริงแล้วก็ยังไม่คุ้มทุนสำหรับชาวประมง โดยราคาที่ชาวประมงสามารถประกอบอาชีพอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อน ต้นทุนก็ควรที่จะอยู่ที่ราคาลิตรละไม่เกิน 20 บาท
สำหรับชาวประมงพื้นบ้านที่ออกจับปลาอยู่ตามชายฝั่งจากการสอบถาม พบว่า ยังคงที่จะกอบอาชีพต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน ถึงแม้ว่าน้ำมันจะแพงก็ตาม เพราะทรัพยากรทะเลก็มีให้จับเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เนื่องจากการที่จังหวัดกระบี่ได้ทำการประกาศปิดอ่าวนั่นเอง และชาวประมงเองก็ทำตามกติกาไม่จับปลาด้วยเครื่องมือผิดประเภท ส่วนทางหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงชายฝั่งเองก็ทำงานกันอย่างจริงจัง ทำให้เรือที่ใช้อุปกรณ์ผิดประเภทไม่กล้าทำผิดกฎหมาย
นายมานิต ดำกุล นายกสมาคมชาวประมงจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จากที่ภาวะราคาของน้ำมันได้ขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนราคาเกือบทะลุ 40 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์หลายราย ต้องจอดเรือหยุดออกจับปลาแล้วกว่า 100 ลำ เนื่องจากประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก กับต้นทุนน้ำมันที่แพงสูงขึ้น ในส่วนของผู้ประกอบการที่ยังคงออกจับปลาอยู่ในขณะนี้มีอยู่ประมาณไม่ถึง 10 ราย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นผู้ประกอบการที่มีทุนหนา ถึงแม้ว่าบางครั้งจะขาดทุนบ้าง แต่ก็ยังมีทุนสำรองที่จะเลี้ยงตัวเองให้สามารถประกอบกิจการต่อไปได้
นายกสมาคมชาวประมงจังหวัดกระบี่ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ที่มีทุนน้อย ทางออกที่ดีที่สุดหากคิดว่าจะประกอบอาชีพประมงต่อไปก็ควรจะมีอาชีพอื่นเสริมด้วย ทั้งการการเลี้ยงปลากระชัง และการทำประมงพื้นบ้านที่ใช้เงินลงทุนน้อย ถึงแม้ว่ารายได้อาจจะไม่เป็นกอบเป็นกำ แต่ก็พอที่จะเลี้ยงชีพและครอบครัวได้อย่างไม่เดือดร้อน ซึ่งก็ได้แนะนำให้ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์บางรายที่หยุดเรือออกจับปลา หันมาเลี้ยงปลากระชังเป็นอาชีพเสริม ในส่วนของเงินทุนนั้นทางสมาคมประมงฯพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพช่วยหาทุนให้ในกรณีที่ชาวประมงไม่มีทุน
“สำหรับปลาที่เลี้ยงในกระชังนั้น ไม่ว่าจะเป็นปลาเก๋า หรือปลากะพง กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจำนวนปลาที่เลี้ยงอยู่ในปัจจุบันก็ไม่เพียงพอกับความต้องการซึ่งหากว่าชาวประมงหันมาเลี้ยงปลากระชังและออกเรือจับปลาไปด้วย ก็จะสามารถแบ่งเบาภาระในส่วนที่ขาดทุนได้ หรือหากว่าจะหันมาเลี้ยงปลากระชังเพียงอย่างเดียวก็จะเป็นเรื่องดี เพราะจะได้ลดความเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุน จากภาวะน้ำมันแพงลงได้ ซึ่งเท่าที่ได้มีการพูดคุยกันหลายรายก็ให้ความสนใจ และพร้อมที่จะเปลี่ยนอาชีพ”
นายมานิต กล่าวด้วยว่า ในส่วนของเรือประมงพาณิชย์ ที่หยุดออกจับปลาหากว่าภาครัฐจะเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของการจัดซื้อเรือได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะปล่อยทิ้งไว้ก็จะเป็นภาระของชาวประมง และชาวประมงเองก็จะได้นำเงินที่ขายเรือมาเป็นทุนในการประกอบอาชีพเลี้ยงปลาต่อไป และว่าในส่วนของน้ำมันม่วงที่ภาครัฐชดเชยให้ลิตรละ 2 บาทในความเป็นจริงแล้วก็ยังไม่คุ้มทุนสำหรับชาวประมง โดยราคาที่ชาวประมงสามารถประกอบอาชีพอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อน ต้นทุนก็ควรที่จะอยู่ที่ราคาลิตรละไม่เกิน 20 บาท
สำหรับชาวประมงพื้นบ้านที่ออกจับปลาอยู่ตามชายฝั่งจากการสอบถาม พบว่า ยังคงที่จะกอบอาชีพต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน ถึงแม้ว่าน้ำมันจะแพงก็ตาม เพราะทรัพยากรทะเลก็มีให้จับเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เนื่องจากการที่จังหวัดกระบี่ได้ทำการประกาศปิดอ่าวนั่นเอง และชาวประมงเองก็ทำตามกติกาไม่จับปลาด้วยเครื่องมือผิดประเภท ส่วนทางหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงชายฝั่งเองก็ทำงานกันอย่างจริงจัง ทำให้เรือที่ใช้อุปกรณ์ผิดประเภทไม่กล้าทำผิดกฎหมาย
