ศูนย์ข่าวภูเก็ต- ที่ปรึกษานายกฯเตรียมเสนอฟื้นฟูศูนย์เตือนภัยต่อรัฐบาล หลังถูกปรับลดเป็นหน่วยงานเล็ก
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงระบบการเตือนภัยของประเทศไทย ว่า จากการกรณีที่เกิดพายุไซโคลนนาร์กีส และส่งผลทำให้ประชาชนชาวพม่าเสียชีวิตจำนวนมาก และมีผู้สูญหายอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งหากการเตือนภัยดีพอและคนเชื่อการเตือนภัย ก็จะไม่มีผู้เสียชีวิตและสูญหายเป็นจำนวนมากขนาดนี้
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รู้สึกเป็นห่วงในส่วนของประเทศไทย เพราะตนเป็นคนหนึ่งที่ได้ริเริ่มเรื่องของการสร้างศูนย์เตือนภัยและจัดวางระบบเตือนภัย ซึ่งถือว่าสามารถดำเนินการได้ค่อนข้างรวดเร็วมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบนี้ และเคยสั่งอพยพประชาชนจำนวนมาก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติคราวเกิดภัยพิบัติ เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่า เรื่องของภัยธรรมชาติไม่มีใครทราบได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นสึนามิ หรือ ไซโคลน
ดร.ปลอดประสพ กล่าวต่อไปว่า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เรื่องการเตือนภัยของไทยเราแย่ลง เนื่องจากความไม่รับผิดชอบของข้าราชการและรัฐบาลสมัยที่ผ่านมา เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรู้สึกเบื่อที่จะทำงานด้านการเงินให้กับศูนย์เตือนภัยฯ ซึ่งตนเสนอไปว่าหากเบื่อก็ให้มอบงานมาให้กับศูนย์ แต่ไม่มอบให้ โดยอ้างกฎระเบียบ วันดีคืนดีก็ได้ออกระเบียบให้ศูนย์เตือนภัยฯที่เคยขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงไอซีที ภายใต้การกำกับของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งได้เคยออกมาโวยวายว่า แย่ที่สุดแล้วก็น่าจะอยู่ในความดูแลของรัฐมนตรีไม่ใช่ให้ไปอยู่กับกรมอุตุนิยมวิทยา และเลขานุการรัฐมนตรีสมัยนั้นก็ไม่เคยหารือ รวมถึงนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นด้วย
“เวลานี้ศูนย์เตือนภัยฯไม่ต่างกับส้วมร้าง มีคนอยู่ก็ทำงานไม่ได้ งบประมาณไม่มี ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ หากเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับพม่าจะทำอย่างไรกัน” ดร.ปลอดประสพ กล่าวและว่า
เรื่องนี้จะทำเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาฯ เนื่องจากทราบรายละเอียดมาตั้งแต่ตน และอยากบอกให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะครั้งนี้โชคดีที่ไซโคลนลูกนี้ไม่เข้าประเทศไทย แต่อย่าคิดว่าเข้าไม่ได้ จึงอยากเรียกร้องให้ประชาชนชาวใต้ที่อยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งต้องเสี่ยงภัยทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ และไซโคลน ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับปรุงศูนย์เตือนภัยฯ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยอย่างแท้จริง หากไม่ทำเมื่อเกิดอะไรขึ้นก็อย่าไปโทษคนอื่น
ดร.ปลอดประสพ กล่าวว่า ในส่วนของตัวเอง ก็จะทำหน้าที่ในการฟื้นฟูศูนย์เตือนภัยฯ ขึ้นมาอีกครั้ง และเชื่อว่า นายกฯ จะเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ เพราะศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ ไม่ว่าประเทศใดก็จะขึ้นกับนายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดี เพราะความปลอดภัยของประชาชนผู้นำประเทศต้องใกล้ชิดที่สุดในการสั่งการ ซึ่งในการฟื้นฟูจะทำให้เป็นองค์กรถาวรและขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานนายกรัฐมนตรีโดยตรง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานมีอนาคต มีอุปกรณ์ในการทำงาน และอำนาจในการดำเนินการให้ครบ เมื่อเตือนภัยแล้วต้องปฏิบัติ หมั่นทำการฝึกซ้อม ไม่ใช่ลดระดับเป็นเพียงหน่วยงานเล็กๆ
ส่วนของทุ่นเตือนภัยขณะนี้มีเพียง 1-2 ตัว ก็คิดว่าพอแล้ว ทราบว่า ขณะนี้มี 1 ตัวที่เสียและยังไม่มีการซ่อมเนื่องจากไม่มีงบประมาณ ส่วนที่จะมีการติดตั้งเพิ่มทราบว่าอยู่ระหว่างการประมูล
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงระบบการเตือนภัยของประเทศไทย ว่า จากการกรณีที่เกิดพายุไซโคลนนาร์กีส และส่งผลทำให้ประชาชนชาวพม่าเสียชีวิตจำนวนมาก และมีผู้สูญหายอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งหากการเตือนภัยดีพอและคนเชื่อการเตือนภัย ก็จะไม่มีผู้เสียชีวิตและสูญหายเป็นจำนวนมากขนาดนี้
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รู้สึกเป็นห่วงในส่วนของประเทศไทย เพราะตนเป็นคนหนึ่งที่ได้ริเริ่มเรื่องของการสร้างศูนย์เตือนภัยและจัดวางระบบเตือนภัย ซึ่งถือว่าสามารถดำเนินการได้ค่อนข้างรวดเร็วมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบนี้ และเคยสั่งอพยพประชาชนจำนวนมาก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติคราวเกิดภัยพิบัติ เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่า เรื่องของภัยธรรมชาติไม่มีใครทราบได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นสึนามิ หรือ ไซโคลน
ดร.ปลอดประสพ กล่าวต่อไปว่า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เรื่องการเตือนภัยของไทยเราแย่ลง เนื่องจากความไม่รับผิดชอบของข้าราชการและรัฐบาลสมัยที่ผ่านมา เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรู้สึกเบื่อที่จะทำงานด้านการเงินให้กับศูนย์เตือนภัยฯ ซึ่งตนเสนอไปว่าหากเบื่อก็ให้มอบงานมาให้กับศูนย์ แต่ไม่มอบให้ โดยอ้างกฎระเบียบ วันดีคืนดีก็ได้ออกระเบียบให้ศูนย์เตือนภัยฯที่เคยขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงไอซีที ภายใต้การกำกับของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งได้เคยออกมาโวยวายว่า แย่ที่สุดแล้วก็น่าจะอยู่ในความดูแลของรัฐมนตรีไม่ใช่ให้ไปอยู่กับกรมอุตุนิยมวิทยา และเลขานุการรัฐมนตรีสมัยนั้นก็ไม่เคยหารือ รวมถึงนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นด้วย
“เวลานี้ศูนย์เตือนภัยฯไม่ต่างกับส้วมร้าง มีคนอยู่ก็ทำงานไม่ได้ งบประมาณไม่มี ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ หากเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับพม่าจะทำอย่างไรกัน” ดร.ปลอดประสพ กล่าวและว่า
เรื่องนี้จะทำเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาฯ เนื่องจากทราบรายละเอียดมาตั้งแต่ตน และอยากบอกให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะครั้งนี้โชคดีที่ไซโคลนลูกนี้ไม่เข้าประเทศไทย แต่อย่าคิดว่าเข้าไม่ได้ จึงอยากเรียกร้องให้ประชาชนชาวใต้ที่อยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งต้องเสี่ยงภัยทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ และไซโคลน ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับปรุงศูนย์เตือนภัยฯ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยอย่างแท้จริง หากไม่ทำเมื่อเกิดอะไรขึ้นก็อย่าไปโทษคนอื่น
ดร.ปลอดประสพ กล่าวว่า ในส่วนของตัวเอง ก็จะทำหน้าที่ในการฟื้นฟูศูนย์เตือนภัยฯ ขึ้นมาอีกครั้ง และเชื่อว่า นายกฯ จะเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ เพราะศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ ไม่ว่าประเทศใดก็จะขึ้นกับนายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดี เพราะความปลอดภัยของประชาชนผู้นำประเทศต้องใกล้ชิดที่สุดในการสั่งการ ซึ่งในการฟื้นฟูจะทำให้เป็นองค์กรถาวรและขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานนายกรัฐมนตรีโดยตรง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานมีอนาคต มีอุปกรณ์ในการทำงาน และอำนาจในการดำเนินการให้ครบ เมื่อเตือนภัยแล้วต้องปฏิบัติ หมั่นทำการฝึกซ้อม ไม่ใช่ลดระดับเป็นเพียงหน่วยงานเล็กๆ
ส่วนของทุ่นเตือนภัยขณะนี้มีเพียง 1-2 ตัว ก็คิดว่าพอแล้ว ทราบว่า ขณะนี้มี 1 ตัวที่เสียและยังไม่มีการซ่อมเนื่องจากไม่มีงบประมาณ ส่วนที่จะมีการติดตั้งเพิ่มทราบว่าอยู่ระหว่างการประมูล