พัทลุง - เกษตรกรชาวนาเร่งปรับสภาพพื้นที่นาข้าว เพื่อทำนาปรังต่อ หวังขายข้าวเปลือกในขณะที่ราคาได้ทยอยปรับสูงขึ้น
นายพิเชษฐ์ เศียรอุ่น อายุ 43 ปี เกษตรกรชาวนาในพื้นที่ตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่นาข้าวของตนเองจำนวน 50 ไร่ได้หว่านข้าวนาปรังไปหมดแล้วซึ่งปกติจะเริ่มทำนาปรังในช่วงปลายเดือนเมษายน แต่ปีนี้เริ่มทำเร็วกว่าทุกปีเพราะเห็นว่าราคาข้าวเปลือกมีราคาสูงขึ้นถึงเกวียนละ 9,000-10,000 บาท อีกทั้งในพื้นที่ตำบลชัยบุรี ไม่มีปัญหาเรื่องระบบน้ำ คาดว่าปีนี้ตนจะทำนาได้ถึง 3 ครั้ง
แม้ว่าในการทำนาจะมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้นกว่าทุกปี ทั้งราคาค่าจ้างไถ่ปรับสูงขึ้นถึงไร่ล่ะ 700 บาท จากเดิมแค่ 500 บาท ส่วนราคาปุ๋ยปรับสูงขึ้นถึงกระสอบละ 200 บาท ค่าเมล็ดพันธุ์ก็สูงขึ้นจากเดิม 7 บาท ปรับขึ้นเป็น 10 บาทต่อ กก.ซึ่งเมื่อบวก ลบคูณหารแล้วแม้จะเหลือกำไรเพียงเล็กน้อยแต่ก็ดีกว่าต้องขาดทุน
ด้าน นางชูศรี เพชรชู อายุ 53 ปี เกษตรกรชาวนาในพื้นที่ตำบลชัยบุรีอีกราย กล่าวว่า ตนทำนาในพื้นที่ 5 ไร่ จากสภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ค่าปุ๋ยและค่าเมล็ดพันธ์ปรับสูงตามขึ้นด้วยส่งผลให้เกษตรกรชาวนารายย่อยต้องประสพปัญหาความเดือดร้อน เพราะต้องแบกภาระต้นทุนในการผลิตสูงตามขึ้นด้วย แม้ว่าราคาข้าวเปลือกต่อเกวียนจะสูงขึ้นแต่ก็เดือดร้อนอยู่ดี
สำหรับพื้นที่ จ.พัทลุง มีพื้นที่ทำนา 289,241 ไร่ ในเกษตรกรจำนวน 40,221 ราย ผลผลิตข้าวอยู่ที่ 130,737 ตันต่อปี ซึ่งมีรายได้จากการผลิตข้าวเข้าจังหวัดกว่าปีล่ะ 900 ล้านบาท ส่วนอำเภอที่ปลูกข้าวมาก 5 อันดับ ได้แก่ อำเภอเมืองพัทลุง 86,065 ไร่ ควนขนุน 67,236 ไร่ เขาชัยสน 40,708 ไร่ ปากพะยูน 31,938 ไร่ และป่าบอน 20,457 ไร่ และจากการสำรวจพบว่าปริมาณพื้นที่ทำนาข้าวจะลดลงกลายเป็นนาร้าง สวนยางพารา และสวนปาล์มกว่าปีละ 10,000 ไร่ เพราะเกษตรกรประสบปัญหาขาดทุน
นายพิเชษฐ์ เศียรอุ่น อายุ 43 ปี เกษตรกรชาวนาในพื้นที่ตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่นาข้าวของตนเองจำนวน 50 ไร่ได้หว่านข้าวนาปรังไปหมดแล้วซึ่งปกติจะเริ่มทำนาปรังในช่วงปลายเดือนเมษายน แต่ปีนี้เริ่มทำเร็วกว่าทุกปีเพราะเห็นว่าราคาข้าวเปลือกมีราคาสูงขึ้นถึงเกวียนละ 9,000-10,000 บาท อีกทั้งในพื้นที่ตำบลชัยบุรี ไม่มีปัญหาเรื่องระบบน้ำ คาดว่าปีนี้ตนจะทำนาได้ถึง 3 ครั้ง
แม้ว่าในการทำนาจะมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้นกว่าทุกปี ทั้งราคาค่าจ้างไถ่ปรับสูงขึ้นถึงไร่ล่ะ 700 บาท จากเดิมแค่ 500 บาท ส่วนราคาปุ๋ยปรับสูงขึ้นถึงกระสอบละ 200 บาท ค่าเมล็ดพันธุ์ก็สูงขึ้นจากเดิม 7 บาท ปรับขึ้นเป็น 10 บาทต่อ กก.ซึ่งเมื่อบวก ลบคูณหารแล้วแม้จะเหลือกำไรเพียงเล็กน้อยแต่ก็ดีกว่าต้องขาดทุน
ด้าน นางชูศรี เพชรชู อายุ 53 ปี เกษตรกรชาวนาในพื้นที่ตำบลชัยบุรีอีกราย กล่าวว่า ตนทำนาในพื้นที่ 5 ไร่ จากสภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ค่าปุ๋ยและค่าเมล็ดพันธ์ปรับสูงตามขึ้นด้วยส่งผลให้เกษตรกรชาวนารายย่อยต้องประสพปัญหาความเดือดร้อน เพราะต้องแบกภาระต้นทุนในการผลิตสูงตามขึ้นด้วย แม้ว่าราคาข้าวเปลือกต่อเกวียนจะสูงขึ้นแต่ก็เดือดร้อนอยู่ดี
สำหรับพื้นที่ จ.พัทลุง มีพื้นที่ทำนา 289,241 ไร่ ในเกษตรกรจำนวน 40,221 ราย ผลผลิตข้าวอยู่ที่ 130,737 ตันต่อปี ซึ่งมีรายได้จากการผลิตข้าวเข้าจังหวัดกว่าปีล่ะ 900 ล้านบาท ส่วนอำเภอที่ปลูกข้าวมาก 5 อันดับ ได้แก่ อำเภอเมืองพัทลุง 86,065 ไร่ ควนขนุน 67,236 ไร่ เขาชัยสน 40,708 ไร่ ปากพะยูน 31,938 ไร่ และป่าบอน 20,457 ไร่ และจากการสำรวจพบว่าปริมาณพื้นที่ทำนาข้าวจะลดลงกลายเป็นนาร้าง สวนยางพารา และสวนปาล์มกว่าปีละ 10,000 ไร่ เพราะเกษตรกรประสบปัญหาขาดทุน