ณขจร จันทวงศ์ ศูนย์ข่าวหาดใหญ่...รายงาน
เมื่อนายวีนัส ชูกำเนิด หนุ่มใหญ่วัย 52 ปี หรือหลวงหมัด ในคำเรียกขานของชาวบ้านแถบ ม.7 ต.ปลักธง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยอมเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายหลังก่อคดีสะเทือนขวัญสังคม ด้วยการใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.จ่อยิง พญ.สุธาทิพย์ ธรรมชาติ ผอ.โรงพยาบาลนาหม่อม อ.นาหม่อม จ.สงขลา เสียชีวิตพร้อมแฟนหนุ่มและเพื่อนรวม 7 ศพ และกระสุนพลาดไปถูกน้องเขยตัวเองเสียชีวิตไปด้วยอีก 1 ศพ กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่มีคนเสียชีวิตรวม 8 ศพ! คดีนี้ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ มากมายขึ้นในสังคม
บางส่วนเห็นว่าสมควรแล้วเพราะผู้ตายก่อความเดือดร้อนรำคาญ และให้กำลังใจนายวีนัส ผู้ลั่นไกปืน บางส่วนเห็นว่านายวีนัส ทำเกินกว่าเหตุและโหดเหี้ยมเกินไป สมควรได้รับโทษทางกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกฎหมายนายวีนัสย่อมถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอยู่แล้วในข้อหา
“ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว โดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์”
ซึ่งผลของคดีจะออกมาเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล ของกระบวนการยุติธรรม
สาเหตุที่ผู้ต้องหาได้รับความเห็นใจจากคนบางส่วนนั้น เนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้ตายบางคนที่เป็นไปในทางสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น และคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หลายคนก็มีพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างกัน พฤติกรรมการขาดสติอันเนื่องมาจากการดื่มของมึนเมาเป็นสำคัญ เมื่อไม่มีสติ ความสุขจากการดื่มเพื่อพักผ่อน พบปะพูดคุยในกลุ่มเพื่อนฝูง จึงกลายเป็นการสร้างความรำคาญให้กับบ้านใกล้เรือนเคียงไปในที่สุด
“ผมตกใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น พูดแล้วขนลุก เคยไปนั่งสังสรรค์กับพี่เบียร์ (ตรีรัตน์ โชโต) และพี่ๆ คนอื่นๆ แต่ไม่บ่อย ก็นั่งดื่มกันอยู่ตรงกระท่อมที่เกิดเหตุ ส่วนเรื่องเสียงก็ยอมรับว่าบางครั้งก็ดังจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขามีความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน จนมาเห็นข่าวว่าทั้งหมดถูกยิงตาย ตกใจมาก ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ถ้าวันนั้นเรานั่งอยู่ด้วยไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น” แหล่งข่าวซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องของกลุ่มผู้ตายระบุ
ลึกลงไปในโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่สังคมจะน้องนำมาพิจารณาถึงเหตุแห่งเรื่องราวทั้งหมด
มีเบาะแสว่า ห้วงเวลาที่คู่กรณีทั้งสองโคจรมาพบกัน เริ่มตั้งแต่พี่ชายคนหนึ่งของนายวีนัสเสียพนันจนต้องขายที่ดินพร้อมบ้านเลขที่ 70/4 ม.7 ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา บ้านหลังเกิดเหตุ ปลูกอยู่ติดกับบ้านของนายวีนัสให้กับ พญ.สุธาทิพย์
เรื่องดังกล่าว นายวีนัส และญาติคนอื่นๆ ไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้ในขั้นตอนการซื้อขาย มารับรู้ภายหลังเมื่อ พญ.สุธาทิพย์ และแฟนหนุ่มย้ายเข้ามาอยู่ โดยเครือญาติของนายวีนัส ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของพี่ชาย จนพาลไปไม่ชอบหน้าผู้ซื้อบ้านหลังดังกล่าวด้วย เรื่องนี้เป็นต้นธารของความขัดแย้งจนพี่ชายนายวีนัส ถึงกับต้องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลภรรยา กลายเป็นรอยร้าวในครอบครัว และรอยร้าวกับเพื่อนบ้านผู้เข้ามาครอบครองมรดกของครอบครัว
อย่างไรก็ตาม รอยร้าวนั้นสามารถประสานเข้ากันได้ หากไม่เกิดสิ่งเร้าอื่นๆ ตามมา เนื่องจากแฟนหนุ่มของ พญ.สุธาทิพย์ เป็นศิลปินที่ทำงานดนตรี และเขียนภาพ รู้จักกันในกลุ่มนักกิจกรรมทางสังคมรุ่นหนุ่มของหาดใหญ่ และ พญ.สุธาทิพย์ เองก็ได้ชื่อว่าเป็นนักกิจกรรมสังคมคนหนึ่งที่มีผลงานโดดเด่นมีการเสนอชื่อให้ได้รับรางวัล ทำให้ทั้งสองมีเพื่อนฝูงแวะเวียนไปมาหาสู่มากมายหลากหลาย
การดื่มกินร้องรำทำเพลงจึงเกิดขึ้นเกือบทุกวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน นานพอที่นายวีนัส ซึ่งเสมือนมีกองไฟเล็กๆ สุมอยู่แล้วในอก ต้องปะทุขึ้นมาในที่สุด แม้แต่กำแพงซึ่ง พญ.สุธาทิพย์ จ้างช่างให้สร้างขึ้นมาก็มิอาจกั้นขวางไว้ได้
คนบางส่วนเห็นว่ายุติธรรมแล้วที่ปัญหาจบลงด้วยความรุนแรง ความรู้สึกนี้ไม่แตกต่างไปจากก้อนอิฐที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงมาขวางกั้นไม่ให้มองเห็นทางออกที่สันติ แสดงให้เห็นว่าสังคมส่วนหนึ่งยอมรับว่าการฆ่าคนที่ก่อความเดือดร้อน อย่างเช่น พวกกินเหล้าส่งเสียงรบกวนชาวบ้านด้วยการฆ่าให้ตายเสียตรงนั้นคือเรื่องที่เหมาะสม! หาไม่แล้วเขาจะแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นไม่ได้เลย มันตีบตันไปหมด เพราะแม้แต่ตำรวจก็ช่วยสางปัญหาให้ไม่ได้ ขอร้องก็แล้ว ขู่ก็แล้วไม่เชื่อฟัง จึงต้องฆ่าเสีย
คนบางส่วนคิดว่า ชอบธรรมแล้วกระนั้นหรือ? หากเรายังก่อกำแพงในหัวใจขึ้นเช่นนี้เชื่อว่าปัญหาลักษณะนี้จะยังคงเกิดขึ้นอีก และไม่มีวันจบสิ้น
ทั้งนายวีนัส และกลุ่มผู้ตาย ต่างก็ได้รับผลตอบแทนของการสร้างกำแพงในหัวใจไปทั้งสองฝ่าย ปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งเรื่องที่ดิน และการกระทบกระทั่งระหว่างเพื่อนบ้านในภายหลัง ยุติลงด้วยศพคนตาย 8 ศพ และอาจมีอีก 1 คนต้องติดคุก ปัญหาจบแล้ว แต่ไม่มีความสุขความดีงามใดๆ ปรากฏขึ้นเลยแม้แต่น้อย