ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - หาดใหญ่โพล ระบุชาวหาดใหญ่ เชื่อ “ทักษิณ” อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาลของ พปช.ไม่เชื่อจะวางมือจริง พร้อมชี้ “หมอเลี้ยบ” เหมาะสมกับตำแหน่งนายกฯ มากกว่า “สมัคร” ระบุการพลิกลิ้นของ “บรรหาร” ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมือง
สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ เกี่ยวกับการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชน จำนวน 994 ตัวอย่าง และใช้แบบสำรวจเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 8-10 มกราคม 2551 สรุปผลการสำรวจ ดังนี้
สถานภาพกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 54.7) มีอายุระหว่าง 21-30 ปี (ร้อยละ 38.2) รองลงมา อายุ 31-40 ปี (ร้อยละ 32.2 ) และอายุ 41-50 ปี (ร้อยละ 16.0) ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 37.7 มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 26.7 มีวุฒิการศึกษาระดับอนุปริญญาตรี/ปวส.และร้อยละ 16.5 มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และเมื่อพิจารณาสถานภาพด้านอาชีพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัท/รับจ้าง ร้อยละ 41.9 รองลงมา ประกอบกิจการส่วนตัว/ค้าขาย และนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 27.4 และ 18.7 ตามลำดับ
สรุปผลการสำรวจ
1.ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองหลังการเลือกตั้ง
ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเหตุการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้ง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าจะเกิดการคอร์รัปชันของรัฐบาลอย่างกว้างขวาง (ร้อยละ 58.9) รองลงมาเป็นเหตุการณ์การประท้วงของกลุ่มต่างๆ เหตุการณ์การแก้แค้นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล มีการจัดตั้งรัฐบาลและบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะสงบสุข พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจเหมือนเดิม และมีความรุนแรงถึงกับเลือดตกยางออก คิดเป็น ร้อยละ 55.0 40.7 39.2 26.0 และ 20.5 ตามลำดับ
ความคิดเห็นต่อการปฏิบัติงานของ กกต พบว่า ประชาชนร้อยละ 50.9 เห็นว่า การปฏิบัติงานของ กกต.ในการพิจารณาให้ใบเหลือง-ใบแดงกับว่าที่ ส.ส.มีความเหมาะสมและยุติธรรมแล้ว มีเพียงร้อยละ 29.3 ที่เห็นว่าการปฏิบัติงานของ กกต.ไม่มีความยุติธรรมกับว่าที่ ส.ส.ที่ได้รับใบเหลือง-ใบแดง และร้อยละ 19.4 ไม่แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นเกี่ยวกับความสามารถในการปฏิบัติการที่เป็นไปได้ของพรรคพลังประชาชนต่อเงื่อนไข 5 ข้อของพรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดิน ในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 70.4 เห็นว่า พรรคพลังประชาชนสามารถปฏิบัติได้มากที่สุด คือ การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รองลงมา เป็น การเคารพและไม่ละเมิดประธานองคมนตรี ไม่มีการล้างแค้นกลุ่มต่างๆ ที่มีส่วนต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีการยุบ คตส.และคดีของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คิดเป็นร้อยละ 58.8 44.7 34.1 และ 16.4 ตามลำดับ
ความคิดเห็นของประชาชนชาวหาดใหญ่ต่อการกระทำของนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่มีการเปลี่ยนท่าที่ไปจากเดิม (ก่อนการเลือกตั้ง) โดยเปลี่ยนมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล กับพรรคพลังประชาชน พบว่า ประชาชนร้อยละ 39.1 มีความรู้สึกเบื่อการเมือง มีแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง รองลงมา มีความรู้สึกว่าการเมืองไทยไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ของสังคมไทย นายบรรหาร ศิลปอาชา มีเป้าหมายต้องการเป็นรัฐบาลไม่ต้องการเป็นฝ่ายค้านและที่ทำเพราะต้องการให้บ้านเมืองสู่สภาวะปกติโดยเร็ว คิดเป็นร้อยละ 34.3 13.9 6.6 และ 6.1 ตามลำดับ
แต่ถ้าถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความมุ่งหวังของประชาชนต่อบทบาทของพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดิน พบว่า ประชาชนร้อยละ 38.5 เห็นว่า พรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดินควรเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลในภายหลัง มากที่สุด รองลงมา ควรเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน (ร้อยละ 33.7) และมีเพียงร้อยละ 27.8 เห็นว่าควรสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมากกว่าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน
ความคิดเห็นเกี่ยวกับการยื่นฟ้องของ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ในกรณีพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของอดีตพรรคไทยรักไทย พบว่า ประชาชนร้อยละ 49.9 เห็นด้วยกับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ในการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ในกรณีพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของอดีตพรรคไทยรักไทย ร้อยละ 26.9 ไม่เห็นด้วยกับ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และร้อยละ 23.2 ไม่แสดงความคิดเห็น ส่วนในกรณีการแจกซีดีของผู้สมัครพรรคพลังประชาชน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 63.1 เชื่อว่า จะนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน มีเพียงร้อยละ 36.9 ไม่เชื่อว่าจะมีการยุบพรรคพลังประชาชนได้ โดยให้เหตุผลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังมีบทบาททางการเมืองอยู่มากที่สุด
2.ความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล
ชาวหาดใหญ่ร้อยละ 45.3 เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีส่วนร่วมในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีในการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพลังประชาชน มีเพียงร้อยละ 36.2 ที่ไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีส่วนร่วมในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และร้อยละ 18.5 ไม่แสดงความคิดเห็น ส่วนในกรณีการวางมือทางการเมือง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 62.5 ไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะวางเมืองทางการเมืองจริง
ประชาชนร้อยละ 37.3 เห็นว่า นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี มีความเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มากที่สุด รองลงมา นายสมัคร สุนทรเวช (ร้อยละ 32.1) และนายบรรหาร ศิลปอาชา (ร้อยละ 30.6)
ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 75.7 เห็นด้วยให้มีตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสำหรับดูแลการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนบุคคลที่เหมาะสมในตำแหน่งนี้ พบว่า นพ.แวมาฮาดี แวดาโอะ (หมอแว) จากพรรคเพื่อแผ่นดิน มีความเหมาะสมมากที่สุด (ร้อยละ 49.9) รองลงมา นายอารีเพ็ญ อุตรสินธิ์ จากพรรคพลังประชาชน (ร้อยละ 30.5) และนาย นิกร จำนง จากพรรคชาติไทย (ร้อยละ 19.6)
3.ความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล
ประชาชนร้อยละ 60.8 เห็นว่า รัฐบาลควรกำหนดนโยบายเร่งด่วนในด้านการแก้ปัญหาเกี่ยวกับความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มากที่สุด รองลงมา เป็นปัญหาปากท้องของประชาชน ความสมานฉันท์ของคนในสังคม และการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด คิดเป็นร้อยละ 58.5 49.1 และ 46.4 ตามลำดับ ส่วนนโยบายที่ประชาชนไม่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการ พบว่า ประชาชนร้อยละ 44.1 เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นนโยบายที่ไม่ต้องการให้ดำเนินการมากที่สุด รองลงมาเป็นนโยบายการนิรโทษ 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย การปลด ผบ.ทบ.และการยุบ คตส.คิดเป็นร้อยละ 31.7 12.8 และ 11.4 ตามลำดับ
สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ เกี่ยวกับการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชน จำนวน 994 ตัวอย่าง และใช้แบบสำรวจเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 8-10 มกราคม 2551 สรุปผลการสำรวจ ดังนี้
สถานภาพกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 54.7) มีอายุระหว่าง 21-30 ปี (ร้อยละ 38.2) รองลงมา อายุ 31-40 ปี (ร้อยละ 32.2 ) และอายุ 41-50 ปี (ร้อยละ 16.0) ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 37.7 มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 26.7 มีวุฒิการศึกษาระดับอนุปริญญาตรี/ปวส.และร้อยละ 16.5 มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และเมื่อพิจารณาสถานภาพด้านอาชีพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัท/รับจ้าง ร้อยละ 41.9 รองลงมา ประกอบกิจการส่วนตัว/ค้าขาย และนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 27.4 และ 18.7 ตามลำดับ
สรุปผลการสำรวจ
1.ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองหลังการเลือกตั้ง
ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเหตุการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้ง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าจะเกิดการคอร์รัปชันของรัฐบาลอย่างกว้างขวาง (ร้อยละ 58.9) รองลงมาเป็นเหตุการณ์การประท้วงของกลุ่มต่างๆ เหตุการณ์การแก้แค้นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล มีการจัดตั้งรัฐบาลและบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะสงบสุข พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจเหมือนเดิม และมีความรุนแรงถึงกับเลือดตกยางออก คิดเป็น ร้อยละ 55.0 40.7 39.2 26.0 และ 20.5 ตามลำดับ
ความคิดเห็นต่อการปฏิบัติงานของ กกต พบว่า ประชาชนร้อยละ 50.9 เห็นว่า การปฏิบัติงานของ กกต.ในการพิจารณาให้ใบเหลือง-ใบแดงกับว่าที่ ส.ส.มีความเหมาะสมและยุติธรรมแล้ว มีเพียงร้อยละ 29.3 ที่เห็นว่าการปฏิบัติงานของ กกต.ไม่มีความยุติธรรมกับว่าที่ ส.ส.ที่ได้รับใบเหลือง-ใบแดง และร้อยละ 19.4 ไม่แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นเกี่ยวกับความสามารถในการปฏิบัติการที่เป็นไปได้ของพรรคพลังประชาชนต่อเงื่อนไข 5 ข้อของพรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดิน ในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 70.4 เห็นว่า พรรคพลังประชาชนสามารถปฏิบัติได้มากที่สุด คือ การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รองลงมา เป็น การเคารพและไม่ละเมิดประธานองคมนตรี ไม่มีการล้างแค้นกลุ่มต่างๆ ที่มีส่วนต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีการยุบ คตส.และคดีของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คิดเป็นร้อยละ 58.8 44.7 34.1 และ 16.4 ตามลำดับ
ความคิดเห็นของประชาชนชาวหาดใหญ่ต่อการกระทำของนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่มีการเปลี่ยนท่าที่ไปจากเดิม (ก่อนการเลือกตั้ง) โดยเปลี่ยนมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล กับพรรคพลังประชาชน พบว่า ประชาชนร้อยละ 39.1 มีความรู้สึกเบื่อการเมือง มีแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง รองลงมา มีความรู้สึกว่าการเมืองไทยไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ของสังคมไทย นายบรรหาร ศิลปอาชา มีเป้าหมายต้องการเป็นรัฐบาลไม่ต้องการเป็นฝ่ายค้านและที่ทำเพราะต้องการให้บ้านเมืองสู่สภาวะปกติโดยเร็ว คิดเป็นร้อยละ 34.3 13.9 6.6 และ 6.1 ตามลำดับ
แต่ถ้าถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความมุ่งหวังของประชาชนต่อบทบาทของพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดิน พบว่า ประชาชนร้อยละ 38.5 เห็นว่า พรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดินควรเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลในภายหลัง มากที่สุด รองลงมา ควรเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน (ร้อยละ 33.7) และมีเพียงร้อยละ 27.8 เห็นว่าควรสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมากกว่าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน
ความคิดเห็นเกี่ยวกับการยื่นฟ้องของ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ในกรณีพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของอดีตพรรคไทยรักไทย พบว่า ประชาชนร้อยละ 49.9 เห็นด้วยกับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ในการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ในกรณีพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของอดีตพรรคไทยรักไทย ร้อยละ 26.9 ไม่เห็นด้วยกับ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และร้อยละ 23.2 ไม่แสดงความคิดเห็น ส่วนในกรณีการแจกซีดีของผู้สมัครพรรคพลังประชาชน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 63.1 เชื่อว่า จะนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน มีเพียงร้อยละ 36.9 ไม่เชื่อว่าจะมีการยุบพรรคพลังประชาชนได้ โดยให้เหตุผลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังมีบทบาททางการเมืองอยู่มากที่สุด
2.ความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล
ชาวหาดใหญ่ร้อยละ 45.3 เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีส่วนร่วมในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีในการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพลังประชาชน มีเพียงร้อยละ 36.2 ที่ไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีส่วนร่วมในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และร้อยละ 18.5 ไม่แสดงความคิดเห็น ส่วนในกรณีการวางมือทางการเมือง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 62.5 ไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะวางเมืองทางการเมืองจริง
ประชาชนร้อยละ 37.3 เห็นว่า นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี มีความเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มากที่สุด รองลงมา นายสมัคร สุนทรเวช (ร้อยละ 32.1) และนายบรรหาร ศิลปอาชา (ร้อยละ 30.6)
ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 75.7 เห็นด้วยให้มีตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสำหรับดูแลการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนบุคคลที่เหมาะสมในตำแหน่งนี้ พบว่า นพ.แวมาฮาดี แวดาโอะ (หมอแว) จากพรรคเพื่อแผ่นดิน มีความเหมาะสมมากที่สุด (ร้อยละ 49.9) รองลงมา นายอารีเพ็ญ อุตรสินธิ์ จากพรรคพลังประชาชน (ร้อยละ 30.5) และนาย นิกร จำนง จากพรรคชาติไทย (ร้อยละ 19.6)
3.ความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล
ประชาชนร้อยละ 60.8 เห็นว่า รัฐบาลควรกำหนดนโยบายเร่งด่วนในด้านการแก้ปัญหาเกี่ยวกับความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มากที่สุด รองลงมา เป็นปัญหาปากท้องของประชาชน ความสมานฉันท์ของคนในสังคม และการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด คิดเป็นร้อยละ 58.5 49.1 และ 46.4 ตามลำดับ ส่วนนโยบายที่ประชาชนไม่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการ พบว่า ประชาชนร้อยละ 44.1 เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นนโยบายที่ไม่ต้องการให้ดำเนินการมากที่สุด รองลงมาเป็นนโยบายการนิรโทษ 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย การปลด ผบ.ทบ.และการยุบ คตส.คิดเป็นร้อยละ 31.7 12.8 และ 11.4 ตามลำดับ
