“คือนอกเหนือจากเงินหนูรู้สึกว่าการที่ทำแบบนี้หนูได้ความภูมิใจ และได้คุณค่าจากการทำตรงนี้มาก ๆ เลย นอกจากอาชีพพยาบาล หนึ่งได้ทำให้คนเห็นว่าที่ “ในหลวง” ท่านสอนมาตลอดว่ามีผืนดินเป็นเหมือนทองคำมันจริง! ถ้าเรารู้จักทำรู้จักสร้าง ไม่โลภ
อยู่กับแต่ละอย่างอยู่ในให้มันเป็นชีวิตประจำวันของเรา อยู่ได้จริง อย่างที่นี่ปลูกผักหลากหลาย เรากิน เราใช้ เราเหลือเราขาย รอดค่ะ! ถ้าเราขยัน มีปลามีผักมีไข่มีไก่เราอยู่ได้จริงนะ เพราะฉะนั้นการที่เราจะอยู่ได้เราต้องเข้าใจมันก่อนไม่ใช่ว่า “พอเพียง” คือพอเพี้ยงไม่ใช่นะ! ไม่ใช่อย่างนั้นเลย อันที่สองเต้รู้สึกว่า เต้เป็นที่พึ่งพาของคนป่วยได้(เป็นคุณหมอภาคอาหาร) คือภูมิใจตรงที่ใครป่วยแล้วส่งมาหาเราคิดถึงเราอะไรอย่างเงี้ยค่ะ เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับคนที่เขาเจ็บปวดจากการที่เขารู้ว่าเขาป่วยเป็นโรคแล้วอันที่หนึ่ง อันที่สองเจ็บปวดจากค่ารักษาพยาบาลที่แพงแสนแพงแล้ว พอมาตรงนี้เขาได้ผักที่ปลอดภัยจริงในการกิน สองราคาก็ไม่ต้องแพงมาก เต้รู้สึกดีใจมาก อันที่สามอีกอันหนึ่งคือ สร้างงาน สร้างงานให้กับคนพื้นที่ ที่นี่ใครไม่รับเรารับ” คุณอัญชรี อัสววิมล หรือคุณเต้ เจ้าของร้าน “ออร์แกน บาย สมาร์ทไนน์ฟาร์ม” จากอดีตนางพยาบาลที่ขอเกษียณก่อนอายุราชการออกมา เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยอาชีพปลูกผักทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ในตอนแรก แต่ด้วยการเรียกร้องของคนที่ได้กินผักแล้วอยากที่จะให้ทำเป็นการค้าด้วยเลยได้ไหม? ความเกรงใจของคนกินผักผนวกกับการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณฯ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ที่มีอยู่เป็นทุนเดิม การเริ่มต้นอาชีพใหม่พร้อมกับโจทย์ที่มีในใจ“อาชีพเกษตรทำไมจึงไม่รวย?!!” กลายเป็นเหมือนภารกิจที่ต้องพิชิตให้ได้ เพื่อได้รู้คำตอบที่แท้จริง!
“เต้ก็เรียนพยาบาลวิชาชีพมานะคะแล้วก็ทำงานด้านพยาบาลหลังจบเนี่ย ประมาณ 20 ปี แล้วช่วงที่เรามีครอบครัว(ช่วงที่ทำงานพยาบาล) พอแต่งงานแล้วด้วยความที่พื้นฐานเดิมเป็นคนชอบทำอาหาร ชอบปลูกผัก ปลูกผักสวนครัวบ้านเต้ก็จะอยู่ที่พระราม9 นะคะไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้(เดิม) ก็หลังบ้านนี่จะทำแปลงผักสวนครัว หน้าบ้านก็จะปลูกไม้ประดับ แล้วแปลงผักสวนครัวเราเนี่ยเราก็จะชอบใช้ปุ๋ยคอก เพราะเราโตมากับปุ๋ยคอกเราใช้ปุ๋ยเคมีไม่เป็น เราก็เลยปลูกผักทำกับข้าวทานเอง”แล้วพอวันหนึ่งที่หลังจากเราลาออกจากงาน เราก็เลยเรามีที่ตรงนี้เดิมอยู่แล้ว ที่เราถมที่ทิ้งไว้หลังน้ำท่วมปี 2554 ก็เลยลองมาปลูกผักไว้ทานเอง ชอบอะไรก็ปลูกอันนั้นเลย โดยเฉพาะถั่วฝักยาวที่เราไม่กล้าซื้อข้างนอก(เพราะกลัวเรื่องสารเคมีตกค้าง) ก็เลยปลูกแล้วมันก็ออกมาเยอะมาก เรามีอะไรก็จะไปแบ่งเพื่อนบ้านเก็บไปแบ่งเพื่อนบ้าน แม้แต่ผักบุ้งแดงสวย ๆ เนี่ยอวบ ๆ ก็เอาไปให้เขา ทุกคนก็จะบอกว่าทำไมผักที่เต้ปลูกมันอร่อยจัง ทำไมอร่อย? มีบ้านหนึ่งเป็นคุณอาผู้ชายเขาเดินมาขอบคุณเลยเขาบอกว่าเต้ อาไม่เคยได้กินถั่วฝักยาวแบบนี้มา 30 ปีแล้วเพราะว่ามันไม่กล้าทานเลย แล้วเนี่ยคือใช่เลยมันต้องรสชาติแบบนี้ หวาน ๆ แล้วกรอบ ๆ ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวเหมือนข้างนอก ถั่วที่ไม่ได้ใช้พวกสารเคมีมันจะไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวเลย แล้วก็พอผักเราไปให้เขาแต่ละบ้านที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกันเขาก็จะบอกว่า โอ้โหผักมันสดมาก! มันเก็บได้นาน “คุณเต้ทำขายได้ไหม?”เกิดการเรียกร้องเพราะเขาเกรงใจทุกครั้งที่หนูมาก็มักจะเอาผักไปแบ่งเขา เขาเกรงใจอยากได้แต่ถ้าจะเอาฟรีทุกรอบเขาก็รู้สึกเกรงใจ ชวนทำขาย หนูก็มานั่งคิดนั่นแหละ(หัวเราะ) เป็นจุดเริ่มต้น แต่วันที่ตัดสินใจว่าจะมาทำเป็นวันที่ “ในหลวง”(ร.9) เสด็จสวรรคต “ค่ะคือหนูดูพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ที่พระองค์ท่านไปตามต่างจังหวัดตามดอยต่าง ๆ และก็ไปชวนชาวเขาจากปลูกฝิ่นหันมาปลูกพืชผักหมุนเวียนอะไรอย่างเงี้ย อันนั้นแหละหนูก็มานั่งดูว่า เออขนาดพระองค์ท่านยังยอมแบบทรงงานหนักมาก แล้วไปชวนคนให้ทำพื้นที่ตัวเองที่ทำกินให้มันมีประโยชน์ แล้วมีรายได้อะไรเงี้ยค่ะหนูก็เลยมองว่า แล้วทำไมของหนูมันก็น่าทำได้”อันนั้นคือเป็นความคิดในใจแล้วพอมาประจวบกับ พอเราทำผักแล้วมีคนขอซื้อ หนูก็เลยตัดสินใจไปคุยกับแฟนว่า ถ้าเราจะลองทำเป็นอาชีพอย่างจริง ๆ ได้ไหม หลังจากที่มาเริ่มซ้อมมือกันได้สักพักหนึ่งแล้ว แล้วแฟนเขาก็เลยบอกว่า ได้ แต่หนูก็เลยจะตั้งโจทย์ว่า เราจะไม่เอาเงินมาลงตู้ม ๆ ว่าทำฟาร์มมันจะต้องมีภาพสวยงามคือ มีโรงเรือนมีมุ้งมีอะไร ฯลฯ หนูจะไม่ทำแบบนั้น เพราะว่าหนูอยากหาคำตอบว่าทำไมอาชีพเกษตร ทำไมเขาทำแล้วไม่รวย? คือหนูเป็นคนอย่างนี้คือทำอะไรหนูจะต้องแบบหาคำตอบ ในงานที่เราจะทำเราทำเพื่ออะไร หาคำตอบให้ได้ มันอาจจะทำแล้วไม่รอดก็ได้ แต่ว่าทำแล้วมันต้องได้คำตอบ
“เกษตรอินทรีย์” แบบวิถีพอเพียง เทคนิค “ผักอร่อย” Shelf life ยาวใครได้ชิมก็ติดใจ
พื้นที่ผลิตทั้งหมดตอนนี้ 4 ไร่ เต้เริ่มจาก 50 ตร.วา แรก แต่ตอนที่เริ่มเราเริ่มออกแบบพื้นที่ไว้รอแล้วว่า ถ้าเราจะปลูกผักเราจะปลูกให้ตัวเองกินต้องเป็นผักที่ปลอดภัยจริง ๆ นั่นก็คือ ผักออร์แกนิค แล้วตัวเราเองก็ยังไม่รู้ว่าผักออร์แกนิคมันคืออะไร มันจะต้องทำขั้นตอนไหน เราไม่รู้จักเกษตรอำเภอเราไม่รู้จักใครเลยโดยที่ตอนมาเริ่มนะคะ“เราก็ไปอ่านปุ๊บมันก็มีไครทีเรียว่าทำผักออร์แกนิคคุณจะต้องมี บัฟเฟอร์โซน มีน้ำที่สะอาดในการรดผัก พื้นที่ดินคุณจะต้องพักสารเคมีอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป อันนี้เราผ่านแล้วที่ดินเพราะเราถมที่อะไรปรับที่เอาไว้เป็น 10 ปีเราไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่ผักบุ้งเลื้อย ๆ รก ๆ หน่อยอะไรอย่างเงี้ยค่ะ และก็ปุ๋ยที่ใช้ต้องเป็นปุ๋ยคอกซึ่งอันนี้ก็ตรงกับใจเราที่เราชอบแบบนี้อยู่แล้ว”ก็เลยใช้น้ำประปาเป็นแหล่งน้ำและก็สร้างแท็งก์สำหรับการพักน้ำ 24 ชม.ตามมาตรฐานที่กำหนด เริ่มต้นทำกัน 2 คนกับพี่ที่เป็นเพื่อนในแก๊งค์ตีแบดด้วยกัน เขาเบื่องานเขาบอกเขาอยู่ออฟฟิศมา 20 กว่าปีเหมือนกันทิ้งเงินเดือน 3 หมื่นยอมมารับเงินเดือนหนูหมื่นเดียว
“กลายเป็นว่าผักพอเราปลูกอะไรก็ตาม โพสต์ขายในกลุ่มหมู่บ้านที่เขาตั้งไลน์กลุ่มให้เรา เราก็ถ่ายรูปผักไปว่าวันนี้หนูจะมีผักอันนี้ ๆ ทุกคนก็จอง จอง จอง เราก็อุ๊ย! จองแล้วราคาขายยังไงล่ะ? เพราะเราไม่เคยขายผัก”พอหนูไปเสิร์ชในกูเกิ้ลราคาผักออร์แกนิคไม่มีเลย มีแต่ว่าราคาตลาดไทวันนี้กี่บาท หนูก็เลยไปไล่เดินตามห้างฯ ว่าผักออร์แกนิคเขาขายกันยังไงเราจะได้ตั้งราคาขายอะไรเงี้ย พอไปดูในห้างฯพวกผักสลัดเขาก็จะขายกันแพค “คอส” 1 ถุง 40 กว่าบาท(45บ.) กรีน 1 ถุง 45 เรด 1 ถุ ง45 บาท หนูก็อู้กว่าจะได้กินผักรวม ๆ กันหลายอย่างต้องเสียเงินเยอะมาก ก็เลยงั้นเราทำเป็นมิกซ์สลัดเลยไหม ชั่งไปเลยราคากิโลละ 200 บาทจบ! แต่เรามาแพคเป็นถุง ๆ ละ 50 บาท ขายง่ายกว่า
ผักบุ้งจีน เราเก็บผักบุ้งปกติเราต้องเด็ดรากแล้วถึงโคนทิ้งใช่ไหม เราก็จะกินปลาย ๆ เขา หนูในฐานะคนปลูกผักก็มานั่งมองทำไมต้องทิ้งล่ะ เสียดาย กินจนถึงรากเลยได้ไหม แค่เอารากออกพอ ก็มานั่งดูอายุของผักบุ้งถ้าเอาผักบุ้งแบบนั้นมันจะต้องอายุ 25 วันเก็บ คนขายได้น้ำหนัก คนกินขาดทุนเขาต้องเด็ดทิ้งเป็นส่วนใหญ่ หนูก็เลยงั้นจาก 25 วันลดเหลือ 17 วัน/18 วัน ให้มันเป็นผักบุ้งอ่อนเด็ดได้ถึงรากเลย(กินได้เกือบทั้งต้น) แล้วพอเราทำอย่างนี้ ทุกคนบอกว่าทำไมผักบุ้งอร่อยจัง อ่อนมาก กลายเป็นผักบุ้งหนูคือจองนะ ขายดี อะไรก็ตามที่เราปลูกเราดูอายุการเก็บเกี่ยวตามมาตรฐานของเมล็ดพันธุ์เขาแล้วอ แต่ว่าสุดท้ายเราเอาใจเราวัดว่า ช่วงไหนที่ทำอาหารอร่อยที่สุด เราก็เก็บช่วงอายุนั้นเลย“ด้วยความที่เราปลูกออร์แกนิคสมัยนั้นย้อนไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว คนยังรู้จักน้อย แล้วเขาซื้อผักเทียบกับผักเราผักเราพอไปถึงเขาค่ะ มันค่อนข้างสด เก็บเช้าส่งเย็น แล้วก็อีกอันหนึ่งข้อดีเขาคือ เก็บใส่ตู้เย็นเป็นอาทิตย์ก็ไม่เน่า เพราะเป็นผักที่เราไม่ใช้ปุ๋ยเคมีมันจะคายน้ำช้า ใช่ค่ะเขาก็เลย ทำไมมันว้าวจังไม่เหมือนที่อื่น ทีนี้ปากต่อปากเลยค่ะจอง”จาก 50 ตร.วา หนูต้องขยายเป็น 1 งาน เอาไงดีล่ะ 2 คนไม่ทันแล้ว! ก็เลยไปชวนพี่ชายที่อยู่ต่างจังหวัดออกจากงานอีกมาทำฟาร์มไหม? ขานี้ก็เบื่อ พี่สะใภ้ทำสวนยางอยู่ที่ให้เขาเฝ้าสวนยางแบ่งเปอร์เซ็นต์กับคนจ้างอะไรเงี้ย หนูก็ชวนมาลำบากอีก มารุมทำที่นี่ช่วยกัน พอทุกคนมาจะสร้างบ้านหนูก็ไม่ไหวเพราะว่ามันแพง เอาไงดี? ช่วงเริ่มต้นหนูไปเอากระต๊อบไม้ไผ่มาลง กระต๊อบ 1 หลังราคา 2 หมื่นห้ามันจบ มีห้องนอนมีที่นั่งที่พักให้ ก็เลยเอากระต๊อบไม้ไผ่มาลงก่อน 2 หลัง(5 หมื่น) หนูก็เลยบอกว่าเอาบ้านไม้ไผ่มานอนแล้วกางมุ้งนอนกันเลย ทีนี้ไม่กลับบ้านกลับช่องแล้วทำที่นี่เรียนรู้มันไปเรื่อย ๆ ปรุงดินแบบนี้ไม่ผ่านก็มาปรุงสูตรนี้ ให้น้ำแบบนี้ผักสลัดขมต้องเพิ่มรอบนะ อะไรอย่างเงี้ย ชิมรสชาติผักไปเรื่อย ๆ“คือสโลแกนหนูทำผักหนูบอกว่าหนูไม่สนใจว่าทำยังไงให้ผักมันโต-สวย แต่หนูสนใจว่าทำยังไงให้ผักมันอร่อย คือเราต้องเอาความอร่อยเป็นที่ตั้งเลย ว่าทำยังไงมันถึงอร่อยกินแล้วว้าว ไม่เหมือนคนอื่น”
อย่างผักสลัด ต้องไม่ขม เพราะทุกคนเวลาเราเอาผักไปให้แต่ละบ้านเขาจะบอกว่า บ้านนี้ไม่เอาเรดโอ๊ค บ้านนี้ไม่เอากรีนโอ๊ค เหตุผลทุกคนเหมือนกันแต่ไม่เอาผักคนละชนิดหมดเลย คือมันขม หนูก็เลยมานั่งไล่ชิมผักหนูว่าเช้าหนูชิม สายชิม บ่ายชิม“คือเช้าเนี่ยอร่อยเลย พอสายปุ๊บกลืนนี่ขมตอนกลืน พอบ่ายกินแค่เคี้ยวก็ถุยแล้ว คือขมจริง ๆ พอเย็นปุ๊บมาขมตอนกลืน ฮึ้ยมันอะเมซิ่ง! ทำไมรอบมันวนอย่างงี้ อะไรเงี้ย หนูก็เลยมานั่งดูว่าอ๋อ ผักสลัดมันเป็นผักเมืองหนาวมันชอบอากาศเย็น แต่วันที่เขามาปลูกในอากาศร้อนเขาก็ต้องต่อสู้ให้ตัวเองอยู่รอด เวลาร้อน ๆ สังเกตเด็ดกลางวันมันจะมียางออกมาที่ขอบใบเยอะมาก หนูก็เลยงั้นแปลว่ายิ่งร้อน มันจะยิ่งหลั่งยางเยอะแล้วยางตัวนี้ มันเป็นตัวที่ทำให้ขม เพราะฉะนั้นอย่าให้เขาร้อนเกินไป จากเรารดน้ำเช้ากับเย็น เราต้องเพิ่มเป็นสาย&บ่าย เพิ่มรอบการให้น้ำ ให้เขาเครียดน้อยที่สุด”ก็เลยพอทำอย่างนี้ปุ๊บกลายเป็นว่า มันแก้เรื่องรสชาติขมได้ ผักที่เต้เลือกปลูกในแปลงคือหนึ่งเราชอบกินอะไรเราจะปลูกอันนั้น เพราะว่าเราต้องกินมันด้วยแล้วเวลาเราชอบอะไรเนี่ยเราจะเข้าใจสิ่งนั้น ๆ ได้ดี แล้วพอเราทำตรงนี้จนชำนาญลูกค้ารีเควสขอ ปลูกอันนี้ให้ได้ไหม? พี่ชอบ เราไม่รู้จักมันเราก็ไปเริ่มศึกษาเมล็ดพันธุ์แล้วก็เอามาลงปลูก แล้วลองทดสอบโดยการชิม คือเต้จะชิมผักตลอดเวลาในแปลงเพราะว่าเราไม่ได้ใช้สารเคมี ดังนั้นเราสามารถเด็ดชิมได้แล้วน้ำเราก็ใช้น้ำประปาอย่างเงี้ย เราก็สบายใจชิมได้ตลอด“พอเราทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จำนวนผักมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามความที่ลูกค้าอยากได้ ที่นี่ปลูกอยู่ประมาณ 20 กว่าชนิดค่ะ โดยหลัก ๆ ตอนนี้ที่เป็นตัวแบบไฮไลท์เลยว่ามาที่นี่ต้องมากิน “ผักสลัด” เพราะผักสลัดจะไม่ขมเหมือนที่อื่น สด กรอบ แม้บางช่วงเช่น ฤดูร้อน มันร้อนมากผักไม่ใบฟู ไม่สวย ผักใบเล็กใบน้อย ลูกค้าก็ยังชมว่าอร่อย(หัวเราะ) ทั้งที่เราว่ามันไม่ค่อยอร่อยก็ตาม และก็อีกตัวหนึ่งคือ “ผักเคล” ตอนหนูทำช่วง 6 ปีที่แล้ว (พอเราทำได้ 2 ปีก็เริ่มมาปลูกเคล) เคลสมัยนั้นกิโลละประมาณ 600 บาท แล้วคนปลูกน้อยมาก พอลูกค้าบอกว่าคุณเต้ปลูกเคลได้ไหม? เขาอยากเอาไปปั่นผักอะไรเงี้ย แต่เราไม่รู้จักมันหรอกค่ะว่าผักเคลเป็นยังไง หนูก็ไปหาข้อมูลผักเคลหน้าตายังไงเมล็ดพันธุ์สั่งตรงไหนก็ไปหาแล้วมาลองซ้อมปลูก พอซ้อมปลูกดูมันก็ไม่ได้ยากมากเนาะแต่เมล็ดพันธุ์มันแพง(กิโลละหมื่นกว่าบาท) แล้วพอเราเอาเมล็ดมาลองปลูกดูปุ๊บเราก็มานั่งดูเคลวิธีเก็บ เขาก็จะเก็บใบไปเรื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ เลยจนมันเลิกออกใบ แต่สิ่งที่ได้คือ ยิ่งแก่ยิ่งขม แล้วผักกระด้างใบกระด้างมันเป็นเสี้ยน-ขม หนูก็เลยมานั่งไล่อายุเอาที่มันอร่อยที่สุดว่ามันเท่าไหร่หนูก็จะเก็บที่ตรงนั้น แล้วพอเริ่มขมหนูตัดทิ้งเลย โละปลูกใหม่ โละปลูกใหม่”
ด้วยแปลงปลูกที่มันจำกัด และก็รอบการผลิตของเราจะเป็นรอบรายสัปดาห์ เพราะหนูบอกแล้วว่าหนูจะอยู่ด้วยอาชีพนี้ยังไงให้มันรอด เพราะฉะนั้นพอรอบสัปดาห์ปุ๊บแปลว่า 1 เดือนเราต้องมีรายได้จากเขา เพื่อมาเลี้ยงทุก ๆ คน แล้วมันจะต้องรอด“พอหนูทำอย่างเงี้ยอยู่ 3 ปีค่ะที่ขายผักอย่างเดียว ไม่ส่งห้างฯ ไม่ส่งร้านค้า ขายตรงให้กับผู้บริโภคอย่างเดียวนะคะ หนูสามารถทำผักได้เดือนละ 7 หมื่น -1 แสนบาทที่เป็นยอดขาย อันนี้หนูไม่ได้บอกให้ทุกคนทำว่าตาโตนะคะแต่ถ้าทำแบบนี้ได้คุณจะต้องมีวินัยในการทำมาก ๆ งานยิ่งกว่ามนุษย์ออฟฟิศอีกค่ะ ยิ่งกว่าเข้าเวรอีก(หัวเราะ) วันนี้จะต้องเพาะกล้า วันนี้ปรุงดิน วันนี้ปลูกผัก วันนี้ตัดผัก วันนี้ทำน้ำหมัก ฯลฯ คืองานมันจะวนรอบ ไม่งั้นเราจะอยู่ไม่รอด”
ขายเป็น “ผักสด” ผู้บริโภคก็ต้องการ เริ่มขยายตลาดลองเป็น “อาหาร” บ้าง
ตลาดหนูคือหนูจะมีกลุ่มไลน์ที่ขายกันใน Line แล้วก็ Facebook ที่หนูก็จะเล่าว่าวันนี้หนูปลูกอะไรทำอะไร คนก็จะมาติดตามเริ่มรู้จักเราแล้วมีอยู่วันหนึ่งมี “ผู้ป่วยมะเร็ง” เข้ามาซื้อผักที่สวน เป็นคนน่าจะคนแถวนี้เขามา เขาซื้อผักไปกินเสร็จแล้ววันหนึ่งเขาเดินมาขอบคุณ บอกว่าขอบคุณมากนะที่ปลูกผักให้เขาได้กินแล้วเขารู้สึกว่าเขามีความหวัง ว่าอย่างน้อยยังมีแหล่งอาหารที่ปลอดภัยให้เขาได้มีความหวังว่าเขาจะรอด หายจากการป่วยได้ ไม่ไปเพิ่มสารเคมีให้เขาถ้าเขาไปซื้อผักตลาดอะไรอย่างเงี้ย“ในวันนั้นแหละหนูแบบใจ ชื้นมาก! ฟูมาก! คือรู้สึกได้เลยว่าเอ้ยนี่เรายังอยู่ในอาชีพพยาบาลนี่ แค่เราไม่ไปฉีดยาแจกยาให้คนไข้เรามาเปลี่ยนเป็น ผลิตอาหารดี ๆ ให้เขาได้กิน ผลิตวัตถุดิบดี ๆ ให้เขาได้กินทั้งก่อนป่วยและก็หลังป่วยไปแล้ว เหมือนมีที่ พี่ชายหนูทุกคนภูมิใจมากวันนั้นแหละที่แบบ ทุกคนมายด์มาเต็มเข้าใจหนูแล้วว่าทำไมหนูไม่ใช้สารเคมี อะไรอย่างเงี้ยค่ะ มันก็เป็นแรงใจ”แล้วพอวันหนึ่งเราไปออกบูธเราก็ไปเห็นร้านอาหารต่าง ๆ ที่เขาขายผักออร์แกนิค(ที่ไปปรุง) เรารู้สึกว่าทำไมต้องแพงขนาดนั้น ก็เลยไปขอแฟนว่างั้นขอไปออกบูธเขาไปเช่าที่พื้นที่หนึ่งได้ไหม อยากทำอาหารให้คนในออฟฟิศได้กิน ที่เขาไม่ต้องจ่ายแพงเพราะคนที่เขาขายแพงคนที่ซื้อได้คือคนที่รวย มีกำลังซื้อ แล้วมนุษย์ออฟฟิศอย่างเราล่ะที่เราเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน จะได้กินผักออร์แกนิคคือเขาต้องจ่ายแพงมากนะ แฟนก็บอกเอาเลยหนูก็เลยไปเช่าที่ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ อาทิตย์ละครั้ง เขาก็จะมีกฎว่าต้องไปตั้งร้าน 07.00น.(ก่อน)“ตายละ 07.00น.(หัวเราะ) หนูจะต้องทำยังไง แล้วเมนูที่หนูเอาไปก็เลยคิดแบบทำเป็นสเต็กอกไก่ย่างไหม ทำสเต็กแซลมอนย่างไหม โดยเอาผักเราอย่างงี้ค่ะผักที่เราตัดแต่งแพคถุงเสร็จแล้วมันจะมีใบเล็กใบน้อย ก็เพิ่มมูลค่ามันมาเป็นสลัดกล่องค่ะเอาไปขาย หนูตื่นตั้งแต่ตี1 เพื่อมาย่างไก่ย่างสุกทุกอย่างสดปรุงน้ำสลัดแบบใช้วัตถุดิบอินทรีย์หมด เอาไปขายที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ กล่องละ 65 บาทสมัยนั้น ขายดีมาก! แล้วกลายเป็นว่าที่นั่นเพิ่มโอกาสเราโพสต์ว่า เดี๋ยวเราจะไปที่นี่สัปดาห์ละครั้งแล้วก็ลูกค้าที่อยากได้ผักสามารถสั่งได้แล้วรถเราจะไปดร็อปที่นั่นให้เรียกมารับได้ กลายเป็นว่าเพิ่มโอกาสในการตลาดหนูอีก”
ตอนนั้นฟาร์มหนูชื่อ “สมาร์ทไนน์ฟาร์ม” ทุกคนจะรู้จักหนูในนามสมาร์ทไนน์ฟาร์ม พอปีที่ 4 ความฝันอีกอันหนึ่งคือมาทางนี้แล้ว
หนูอยากทำร้านขายผักหน้าฟาร์ม ก็เว้นที่ไว้เป็นเนินเล็ก ๆ หนูก็จะถ่ายรูปเล่าทุกวันเลย พอวันที่มาทำแฟนเขาถามว่าแล้วอยากทำอะไรอีกนอกจากร้านขายผักหน้าฟาร์ม ก็บอกว่าอยากสอนเกษตร เพราะว่าอยากให้คนที่เขาอยากทำเกษตรคนรุ่นใหม่คือจะสอนเขาแบบไม่ขายฝัน ว่าชีวิตจริงของการทำเกษตรมันไม่ได้อย่างที่คิดนะ คุณจะต้องไม่ได้เป็นหนี้มาก่อนหรือมีภาระหนี้สินที่จะต้องผ่อนรายเดือนแล้วมาพึ่งพาอาศัยกับเงินจากการทำเกษตรนี้เลี้ยงชีพ มันเป็นไม่ได้ในช่วงแรกเพราะช่วงแรกมันถือว่ามันเป็นการเรียนรู้ กว่าคุณจะได้ผลผลิตกว่าคุณจะรอบนิ่งกว่าจะได้รายได้ที่มั่นคง มันใช้เวลา แปลว่า 2-3 เดือนแรกรายได้เข้ามาน้อยมาก มันจะเป็นเงินเอาออกเป็นส่วนใหญ่แต่ถ้าเราผ่อนรถผ่อนบ้าน เป็นไงคะทุกคนก็จะบอกว่าทำแล้วท้อ แล้วก็เลิกและหนี แล้วเงินที่ไปลงล่ะ? กลายเป็นหนี้เพิ่ม “หนูก็เลยอยากสอนอันนี้ให้เขาฟังว่า ถ้าจะมาทำคุณจะต้องเตรียมตัวยังไง ซ้อมยังไง ปรุงดินยังไงแบบไม่ต้องขายฝันเลย อันนี้ทำได้จริงอันนี้ทำได้ไหม? อะไรอย่างเงี้ย ที่จะเหมาะกับเขาจริง ๆ”เพราะช่วง 3 ปีที่ทำหนูก็จะสอนฟรีมาตลอดเลย เสาร์-อาทิตย์ก็จะมีกลุ่มเข้ามารวมกันมาเลยพากันมาเดี๋ยวพี่สอนให้ แล้วมาฝึกซ้อมมือที่นี่ ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่นี่ก็จะเป็นร้านสอนเกษตรข้างบนหนูก็จะเก็บโนฮาวการทำเกษตรทั้งหมดเป็นแกลอรี่ แล้วก็เป็นห้องสอน สนุกกลายเป็นว่า พอเปิดมาปุ๊บคนแถวนี้เห็นร้านขึ้นยูทูบเบอร์มาอะไรมา ทำไมไม่ขายอาหาร ทำไมไม่ขายอาหาร(หัวเราะ) เกิดการเรียกร้องอีกหนูก็เลยอ้าวงั้นขายอาหารก็ได้ค่ะ หนูขอเวลา 2 เดือนนะขอเซ็ตครัวก่อนเพราะหนูสร้างตึกหนูไม่มีครัวเลย
“อาหารสุขภาพ” ที่มีรสชาติถูกปาก ใช้วัตถุดิบที่ใส่ใจ “คนมีปัญหาสุขภาพ”
ด้วยความที่เราอยู่ในวงการสุขภาพ หนูรู้สึกว่าคำว่า “อาหารสุขภาพ” ทุกคนจะบอกมันจืด ไม่อร่อย แล้วยิ่งคนป่วยคือแค่รู้ว่าป่วย ใจมันก็หดหู่แล้ว แล้วยังไปบังคับเขากินอาหารห้ามโน่นห้ามนี่ห้ามนั่น พลังใจมันไม่มีนะคะ มันสำคัญมาก“หนูก็เลยบอกว่าหนูจะทำอาหารสุขภาพที่ไม่สุดโต่งจนเกินไป ก็คือวัตถุดิบเราจะเลือกให้เป็นออร์แกนิค แต่ว่าการปรุงยังมีปลาร้าไหม? มี แต่ต้องเป็นปลาร้าต้มสุก ไม่มีผงชูรสนะ อาหารปรุงให้มันน้อยที่สุดอะไรอย่างเงี้ย แต่มันต้องอร่อยได้ด้วยวัตถุดิบที่มันมีอยู่”อย่างบางคนอย่างเงี้ยพี่เป็นมะเร็งพี่ควรกินอะไรดี หนูก็จะให้คำปรึกษานะหนูก็บอก พี่เป็นมะเร็งพี่ก็ยังกินสิ่งที่พี่ชอบได้ สมมติพี่ชอบกินแกงส้มพี่ก็กินแกงส้มค่ะ กินได้เหรอรสจัด? เราก็แค่ทำพริกแกงให้มันเบาลง ผักที่มาใส่พี่ก็เลือกผักที่มันสะอาด เช่น เราไม่ซื้อผักตลาด เราไปหาแหล่งที่เขาปลูกแบบอินทรีย์/ออร์แกนิค หรือถ้ามันหาไม่ได้จริง ๆ พี่ก็เอามาแช่น้ำ/ฆ่าเชื้ออะไรก็แล้วแต่แล้วก็ปรุง ให้กินแบบมีความสุข มะเร็งมันไม่ชอบเนื้อสัตว์ใหญ่ เราก็เป็นเนื้อปลาอะไรแทน คือให้มันอยู่ในชีวิตประจำวันอะไรอย่างเงี้ย “ตอนนี้กลายเป็นว่ากลุ่มลูกค้าหลักหนู ตอนแรกคือจะเป็นกลุ่มแบบฮาร์ดคอร์ออร์แกนิคเลย ที่แบบออร์แกนิคจ๋า ตอนหลังเป็นกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง(50%เป็นลูกค้ากลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง) ที่มาที่นี่ใครรู้ว่าเป็นมะเร็งเขาจะส่งต่อมาที่นี่ หรือรู้ว่าที่นี่มีผักนะมีอาหารที่คุณทานได้นะ แล้วก็กลุ่มที่รักสุขภาพเป็นวัยรุ่น-ผู้ใหญ่อะไรอย่างเงี้ยค่ะ ปากต่อปากเลย” เพราะฉะนั้นเมนูที่ปรุงที่นี่เราจะซื่อสัตย์กับลูกค้ามาก ๆ เช่นเมนูที่ปรุงด้วยถั่วฝักยาวหมดก็คือหมด ก็จะไม่ไปเอาตลาดเลย
ช่วงแรกหนูเปิดร้านหนูโดนด่าเพราะด้วยความที่หนูไม่เคยทำร้านอาหาร ไม่รู้เรื่องการทำสต็อก ลูกค้าตู้ม ๆ ผักหนูหมด! บ่ายสองมาแล้วไม่มีกิน ผักสลัดหมดค่ะอันนี้ก็หมดค่ะ โห! หนูโดนด่าเยอะมาก หนูก็เลยบอกว่าพี่จริง ๆ ถ้าหนูอยากขายเอาเงินพี่หนูทำได้นะ หนูแค่วิ่งไปตลาดบางใหญ่ก็ได้ไปหาผักที่มันดีกว่าขายแผง เป็นผักปลอดภัยเป็นผักไฮโดรมาทำให้พี่กินก็ได้แต่หนูไม่ทำ เพราะหนูถือว่าหนูตั้งใจทำแบบนี้แล้วหมดก็คือหมด“จนตอนนี้เรามีประสบการณ์เรารู้แล้วว่า ผักสลัดต่อรอบต่อสัปดาห์เราจะใช้เท่าไหร่ เราก็เพิ่มฐานการผลิต ถั่วฝักยาวเราใช้เท่าไหร่ อันนี้เราใช้เท่าไหร่ อันไหนที่หนูยังไม่มั่นใจหนูก็จะไม่เปิดออร์เดอ เช่น ถั่วฝักยาวอย่างที่บอกพอเราทำไปเยอะ ๆ อายุการเก็บของเราจะสั้นกว่าเคมี อย่างถั่วฝักยาวเคมีเขาปลูกปุ๊บเขาเก็บได้เป็นเดือนถึงจะหมดรุ่น ของเราอาจจะแค่ 2 อาทิตย์ 3 อาทิตย์คือหมด หรือบางรุ่นโดนโรครุมเร้าก็ต้องรื้อแปลงก่อนที่โรคจะระบาด กลายเป็นว่าถั่วฝักยาวหนูก็จะไม่นิ่ง ถั่วฝักยาวหนูก็จะมีแค่เมนูใส่ส้มตำ ผัดพริกที่ไม่มีให้คนเห็นเมนู คนรู้จักอยากกินค่อยทำอย่างเงี้ย เพราะของมันน้อย หมดคือหมดจริง ๆ”ปลูกมะเขือยาวอย่างเงี้ยพอปลูกจนเรานิ่งปุ๊บ เราก็เปิดเมนูผัดมะเขือยาวหมูสับ มะเขือยาวผัดปลากะพง หนูอยากขายราดหน้าหนูก็ต้องปลูกคะน้าให้นิ่งรอบนิ่งจริง ๆ คำว่ารอบนิ่งคือจริง ๆ เราปลูกทุกสัปดาห์อยู่แล้ว พอเรารู้ว่าเราจะเปิดเราจะต้องปลูกจาก 1 โต๊ะ เป็น 3 โต๊ะ เพื่อให้ได้มินิมั่มสต็อก ถ้ามันรอดเราจะต้องได้เท่านี้นะสำหรับเข้าครัว เหลือแล้วถึงจะแพคขายหน้าร้านอะไรอย่างเงี้ยค่ะ จะขายผัดไทยหนูต้องเพาะถั่วงอกให้ได้ ต้องหาโรคและอุปสรรคของถั่วงอก
เมนูแนะนำของที่ร้านลูกค้ามาแล้วจะต้องสั่ง อย่างเช่น ผัดมะเขือยาวหมูสับ ด้วยเสน่ห์ของออร์แกนิคค่ะมะเขือยาวมันหวานพอเราปลูกแบบนี้ มันหวานแล้วด้วยความสดที่เราเก็บจากหลังร้านแล้วก็เอามาผัดให้ลูกค้ากิน มันมีความอร่อยมันพิเศษค่ะที่ไม่เหมือนใคร แล้วก็อีกตัวหนึ่งที่มาต้องกินคือ สเต็กแซลมอนส้มตำอะโวคาโด ช่วงแรกหนูเผิดเมนูเป็นสเต็กแซลมอน แล้วลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ เต้พี่เบื่อ พี่กินสเต็กกับผักพี่เบื่อมาก พี่อยากกินอะไรแซ่บ ๆ อะไรเงี้ย หนูก็เลยท๊อปปิ้งด้วยส้มตำไหมพี่ กินคู่กันไหม แทนที่เราจะกินแซลมอนกับผัก ได้ ๆ ลองดู หนูก็ตำไทยเลยค่ะโปะปลาแซลมอนแล้วกินแทนสลัด เอาน้ำส้มตำคลุกกับผักกิน ทำไมมันอร่อยอย่างงี้! (หัวเราะ) ทำขายเลยทำขายเลย หนูก็เลยจัดเมนูนี้เลยตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่าขายดีมาก “แล้วก็ด้วยอีกอันหนึ่งคือ ราคา ราคาไม่แพงถ้าเทียบกับที่อื่น ที่นี่ราคาอาหารเริ่มต้นอยู่ที่ 100-300 บาท/เมนู แต่ด้วยราคาเทียบกันว่าเป็นผักออร์แกนิคในจานถ้าเป็นที่อื่นจานนึง “สเต็กแซลมอนส้มตำอะโวคาโด” ที่อื่นจะต้องเป็น 350 จนถึง 400 ที่นี่ขาย 200 กว่าบาท เราทำได้ เพราะหนึ่งเราเป็นต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ผักเราทำเองไม่ได้ซื้อใคร สองทำบนที่ของเรามันอาจจะอยู่ลึกหน่อยแต่คุณลูกค้าได้ราคานี้ อะไรเงี้ย มันไม่มีค่าเช่าแล้วหนูก็เลยไม่ต้องมาเครียดเรื่องพวกนี้”
One Stop Service : ซื้อผักสด & ทานอาหารต้องมาที่ร้านเท่านั้น
พอเปิดร้านหนูจะบอกว่าหนูไม่สามารถเอาผักไปส่งที่อื่นได้เลย มันไม่พอค่ะ เพื่อนบ้านหนูนี่งอนมากเลยเขาบอกว่า มาสร้างมาตรฐานไว้แล้วพอไปกินที่อื่นมันไม่เหมือน เขาพูดอย่างนี้เลยค่ะ ไปกินผักที่อื่นก็ไม่เหมือนที่นี่อะไรเงี้ย กลายเป็นว่าผักหนูได้แค่เท่านี้จริง ๆ ไพรออริตี้แรกคือเข้าครัว เหลือจากครัวคือเป็นช้อปหน้าร้านค่ะ ต้องมาซื้อที่นี่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ก็ไม่ได้ไป ลูกค้าต้องตามมาที่นี่กัน แล้วกลายเป็นว่าพอเปิดที่นี่ปุ๊บลูกค้าในชุมชนที่เมื่อก่อนเขาไม่กล้าเข้ามาซื้อผักหนูเลยเขาคิดว่าหนูทำผักส่งห้างฯ เพราะเห็นแปลงใหญ่ แล้วเขาก็มองว่าออร์แกนิคแพง ตอนนี้กลายเป็นว่าหลังโควิดฯ มาหมดเลย มาซื้อที่นี่ คนเริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้นความหมายของคำว่า “ออร์แกนิค” ไปทั่วทุกคน
เรื่องราคาก็จะมีเปลี่ยนบ้างนิดหนึ่ง ไม่ได้เยอะค่ะ บางตัวยังอยู่ที่เดิมเลย8 ปีแม้บางช่วง เช่น หน้าฝนอย่างเงี้ยผักสลัดนี่ขาดแคลนเลยนะคะ หน้าฝน-หน้าร้อนที่นี่ก็ยังราคาเดิม ไม่ได้ปรับเลย กำลังการผลิต“อย่างผักสลัดผลิตนับเป็นรอบ(รอบสัปดาห์) ตอนนี้สัปดาห์ละ 100 กว่าโล ต้องทำให้ได้ถ้าไม่ได้คือแย่ อย่างตอนนี้ที่ว่าผักได้น้อยสัปดาห์เนี้ยไม่ถึง 50 โล หนูก็เลยเข้าครัวอย่างเดียว แล้วในจานสลัดที่เคยบอกว่าสเต็กหนูมีแต่ผักสลัดตอนนี้หนูก็จะมีใบเคลมาแซมมีอันนั้นมาแจมอย่างเงี้ย(หัวเราะ) ให้มันช่วยทดแทนสลัดอย่างเงี้ยค่ะ” ตอนนี้นอกจากสลัดก็จะมี “เคล” แล้วก็ถ้าเป็นผักไทยที่เป็นนัมเบอร์วันเลยคือ “คะน้า” คะน้าคนชอบมากทุกคนกินคะน้าที่อื่นไม่อร่อยเท่าที่นี่ คะน้าที่นี่มันจะไม่เหม็นเขียว ไม่มีเสี้ยนแล้วก็ไม่มีกลิ่นประหลาด ๆ ก็จะมีพ่อค้าผักที่เข้ามาติดต่อขอซื้อผักเหมือนกันแต่ว่า เราก็จะปฏิเสธเขาไปทุกรายเพราะมันไม่พอ มันไม่พอให้จริง ๆ อย่างใครที่มาขอซื้อผักหนู หนูก็จะบอกมันไม่พอแล้วหนูก็จะบอกราคาหนูแพง คือถ้าเราผักด้วยราคาที่เรายังไม่พออยู่แล้ว แล้วเราจะไปขายส่งในราคาที่ถูก มันทำไม่ได้ คือเราก็ต้องซื่อสัตย์กับลูกค้าหน้าร้านเราด้วยอะไรอย่างเงี้ยค่ะ “แล้วก็หนูก็อยากให้คนที่ทำเกษตร(เกษตรกร) คนที่ทำอาชีพเดียวกันให้เขาแบบมั่นคง มั่นใจในราคาแล้วมั่นใจในคุณภาพของตัวเอง ไม่งั้นเขาอยู่ไม่ได้นะไม่ใช่ว่าเอาตามกลุ่ม เช่น สลัดล้นขายไม่ได้ ลดราคา ลดราคา หนูไม่ทำนะ หนูไม่ทำ ช่วงหน้าหนาวที่ผักล้น ๆ หนูทำยังไงคะหนูแจกลูกค้าเลย แจกเลย ลูกค้าซื้อของ(แถมทุกบิลเราแจก) มันเยอะน้ำหนักมันได้เยอะ ช่วงนั้นเราก็ลดการผลิตลงแล้วไปปลูกผักไทยเพิ่ม ผักอื่นเสริมไปอย่างเงี้ย แล้วถ้าล้นมาก ๆ หนูแจกเป็นกิ๊ฟท์ให้ลูกค้าดีกว่า(ได้ใจลูกค้าไปอีก) เราอย่าทำลายตลาดกันเองเพราะเราไม่งั้นเราจะอยู่ไม่ได้ อันนี้หนูพูดตรง ๆ เลยทุกคนชอบเป็นอย่างงี้ กลัว บางคนนะบอกว่าเดี๋ยวจะเข้ามาทำสวนผักแล้วผมก็จะขายราคานี้เลย สุดท้ายดัมพ์ราคาตัวเองหมดเลยเพื่อตัวเองอยู่รอด แต่คำว่าอยู่รอดน่ะคุณขายได้ แต่สุดท้ายคุณไม่เหลืออะไร” เพราะทำผักออร์แกนิคหนูบอกก่อนเลยว่า มันไม่สามารถกำหนดได้ว่าอาทิตย์นี้คุณจะได้ 80% เหมือนที่คุณอยากได้หรือ 100% ที่คุณอยากได้ อย่างเงี้ย อย่างที่เห็นตั้งใจไว้ 80% สุดท้ายไม่ถึง 50 อย่างเงี้ย คือมันเจ๊งมันเจ๊งจริง ๆ นะคะ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องถัวเฉลี่ยทั้งปีประกันความเสี่ยงให้ตัวเองด้วยว่าถ้าอันไหนไม่ได้ มันต้องอยู่ได้
8 ปีผ่านไปกับคำตอบที่ได้
ถามคุณเต้ว่า 8 ปีผ่านไป “คำตอบ” ที่ได้ที่พอจะแชร์ให้คนอื่น ๆ ฟังด้วย เป็นอย่างไรบ้าง“ก็ถ้าประสบการณ์การปลูกผักจากวันเริ่มต้นจนถึงวันนี้ ก็ปีนี้ปีที่ 8 ค่ะ ในวันที่หนูทำผักอย่างเดียวขายผักอย่างเดียวมันก็มีคำตอบแล้วค่ะว่า ทำไมทำเกษตรแล้วไม่รวย หนึ่งจริง ๆ มันอยู่ได้นะมันเลี้ยงชีพได้มันอยู่ได้ แต่มันไม่รวยจริงเพราะว่า ด้วยความที่เกษตรกรส่วนใหญ่ทำเคมีแล้วไม่ได้เป็นผู้กำหนดราคาเอง อันนี้อยู่ยากละ อันที่สองถ้าจะอยู่รอดได้คุณต้องหันมาทำ “เกษตรอินทรีย์” ที่เป็นผู้กำหนดราคาเองแล้วต้องควบคุม “คุณภาพ”กับลูกค้าจริง ๆ คุณถึงจะอยู่รอด”เต้ทำรายได้อย่างที่บอกว่า เดือนละ 7 หมื่น -1 แสนบาทก็จริง แต่พอหักค่าใช้จ่ายปุ๊บก็จะเหลืออยู่ประมาณเดือนละ 2-3 หมื่นประมาณนี้ ถ้าเราจะต้องเอาเงิน 2-3 หมื่นเนี่ยไปเลี้ยงคนในครอบครัวมีลูกมีอะไร เราก็เหมือนกับเราทำงานออฟฟิศนั่นแหละ แต่กว่าจะได้เงินเหมือนทำงานออฟฟิศ คุณต้องทุ่มเวลากับมันอย่างเต็มที่ ขาดไม่ได้ ลาไม่ได้ เป็นอะไรไม่ได้ มันไม่เหมือนออฟฟิศลาป่วยได้ พักร้อนได้อะไรอย่างเงี้ย เพราะฉะนั้น ถามว่ามันรวยไหม? มันไม่ได้รวย แต่มันเลี้ยงชีพได้ แต่ต้องเลี้ยงชีพด้วยความมีระเบียบวินัยจริง ๆ“ถ้าจะอยู่รอดได้ หลังจากที่มาเปิดเป็นร้านอาหารแล้วแปรรูปเพิ่มมูลค่าของผัก อันนั้นอยู่ได้จริง อย่างที่บอกเต้ขายผักถุงนึง 50 บาท แต่พอเอา 50 บาทเอามาจัดใส่จานเพิ่มแอสเซสซอรี่ใส่เข้าไปนิดนึง มูลค่ามันเพิ่มเลย ต่อยอดแล้วยิ่งสมัยนี้มัน เทคโนโลยีเอย สื่อเอย ทำโซเชียลได้เองเนี่ยอู๊สบายมากเลย แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดทั้งมวลคนที่จะทำเกษตรแล้วอยู่รอดได้ คุณจะต้องหนึ่งซื่อสัตย์กับลูกค้าจริง ๆ ต้องมีความซื่อสัตย์แล้วจริงใจมาก ๆ ค่ะคุณถึงจะอยู่รอดได้ มีคือมี ไม่มีคือไม่มี หมดคือหมด ต้องอย่างงั้น แล้วคุณจะได้ลูกค้าที่เป็น Loyalty ยังไงเราก็รอด”
จากคุณพยาบาลสู่การพิชิต “อาชีพเกษตร”ทำไมจึงไม่รวย?!!! ต่อยอดคาเฟ่สุขภาพอร่อยและดีต่อใจผู้ป่วย ขอบคุณข้อมูลดี ๆ สำหรับการทำฟาร์มผักออร์แกนิคให้ประสบความสำเร็จแบบสามารถครองใจของลูกค้าได้จากร้าน “ออร์แกน บาย สมาร์ทไนน์ฟาร์ม” โดยอดีตคุณพยาบาลคนเก่ง “คุณเต้-อัญชรี อัสววิมล” เจ้าของร้านและฟาร์มผักแห่งนี้ ความซื่อสัตย์และจริงใจกับลูกค้าโดยเฉพาะคนที่มีปัญหาสุขภาพซึ่งต้องการบริโภคผักและอาหารปลอดภัย สามารถเป็นที่พึ่งพาได้ด้านการเป็นแหล่งอาหาร สร้าง Brand Loyalty ที่ได้รับจากลูกค้าทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป สามารถติดตามหรือซื้อผักออร์แกนิคสดใหม่ที่มีรสชาติดีหรือสนใจทานอาหารเมนูสุขภาพที่ต้องขอบอกว่า รสชาติถูกปากและดีต่อใจแน่นอนโดยร้านตั้งอยู่เลขที่ 56/4 ถนนเลียบคลองกระบือ ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี โทร.065-512-8808 เพจ: Organ by Smart Nine Farm
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด