“ออร์เดอพี่ไม่ได้เกิดจากการที่พี่แบบซื้อนะ ช่วยซื้อหน่อย ช่วยซื้อหน่อย แต่เกิดจากการที่ว่าเรายื่นไปให้เขาว่าเออเราเอามาฝาก เรามีของมาให้อย่างเงี้ย ซึ่งจริง ๆ นะอันนี้พี่พูดแบบจากใจ 100% ว่า ไม่ได้เคยคิดหาออร์เดอ คิดแต่ว่าเออเราทำแล้วเราได้ให้ ให้ก่อน
พอให้แล้วคนชอบแล้ว เราถึงคิดว่ามันจะเอามาทำเป็นออร์เดอให้กับเราได้” คุณรัสรินทร์ จิรภัทร์วรนนท์ เจ้าของแบรนด์ “พี่ตุ๊กตาน้ำพริกปลาอินทรีย์” ปัจจุบันอายุ 54 ปีและยังคงมีงานประจำทำอยู่ในบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง อย่างมีความมั่นคงต่อเนื่องไปถึงจนกว่าจะเกษียณเลยจริง ๆ ก็ว่าได้ แต่ด้วยเจ้าตัวมี Mindset ในเรื่องของ #ชีวิตซีซั่น2 หรือชีวิตหลังเกษียณว่า อยากจะใช้ชีวิตต่อ ในแบบของคนที่มีความพร้อมทั้งเรื่องของเวลา การทุ่มเททำสำหรับสิ่งที่รัก ได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อแม้ “อายุ” หรือวัยมาเป็นอุปสรรคขัดขวางได้“คือพี่มีความคิดว่าชีวิตในซีซั่น 2 หรือชีวิตหลังเกษียณเราก็อยากจะมีอาชีพที่เราทำเนี่ย ทำในสิ่งที่เรารัก แล้วก็การทำอาหารมันเป็นสิ่งที่พี่รักมากพี่ก็เลยหยิบน้ำพริกตัวนี้ขึ้นมาทำ ถามว่าจริง ๆ แล้วมันมีแค่น้ำพริกเหรอที่พี่ชอบมันก็ไม่ใช่ แต่วันหนึ่งพี่ทำหลากหลายไปเรียนโน่นไปทำนี่ทำมากมายจนต้องหยุดแล้วก็นั่งคุยกับตัวเองว่าตุ๊กตาเธอจะเอาอะไรกันแน่! พี่ก็เลือกน้ำพริกขึ้นมาชูโรงเพราะพี่ยังมีความเชื่อนะคะว่า น้ำพริกไทยยังไงก็ไปก้องโลก แล้วพี่ขอจะเป็นหนึ่งในนั้น”
จะดีแค่ไหน.... ถ้าเราเปลี่ยน วัยเกษียณให้เป็นชีวิตที่เริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง
คือพี่บอกก่อนว่าจริง ๆ พี่เป็นถือว่าตัวเองเป็นคนโชคดีในระดับหนึ่งที่พี่ทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่ที่มั่นคงแล้วก็เรียกว่าเรายังมั่นใจได้ในวันนี้ แต่ทีนี้ในวันข้างหน้าก็ต้องยอมรับว่า ทุกคนเมื่ออายุมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะตัวองค์กรเองหรือว่าจากตัวของเราเอง เพราะฉะนั้นในวันที่เราเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในชีวิตด้านการงานล่ะ? เราก็คงสำหรับพี่ไม่ได้อยากที่จะอยู่เฉย ๆ ก็อยากมีชีวิตเขาเรียกว่าชีวิตซีซั่น 2 เนาะ หรืออาจจะชีวิตหลังเกษียณ ที่อยากจะทำโน่นทำนี่ แต่พี่ก็คิดไปว่าถ้าเราไปทำในวันที่แรงเราน้อยมากแล้วมันจะทันเหรอ?“มันก็ต้องทำช่วงนี้แหละ แต่เราก็ต้องไม่เบียดบังเวลาในการทำงานของเราด้วย เพราะฉะนั้นพี่ก็ใช้เวลาในวันหยุดหรือว่าเวลาที่ช่วงตื่นมาตอนเช้ามืดอย่างเงี้ยมาทำ มาเรียนรู้ มาหัดมาลอง กับการทำน้ำพริกตัวนี้” ด้วยความที่ว่าแม่ของพี่เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงแล้วเราก็สืบทอดความรักในการทำอาหารตรงนั้น มันเหมือนมันฝังอยู่ในสายเลือดของเราเลย คือพี่ชอบพี่ก็ไปหาความรู้ไปอบรมจาก ม.เกษตรฯ บ้างอาจารย์ที่โน่นที่นี่บ้าง ทั้งแบบกลุ่มและแบบส่วนตัว เริ่มต้นจากการทำขนมก่อนแล้วพอต่อมาพี่ก็เปลี่ยนจากการทำขนมมาทำอาหารคาวบ้าง คือเอาให้เจอว่าตัวเองชอบอะไร“ไม่รู้หรอกพี่รู้แต่ว่าเออทำ ๆ ไปเถอะ อย่าไปคิดเยอะ ไปเรียนก่อนไป จะได้รู้ก่อนไป พอมาวันนี้พอพี่มองย้อนกลับไปจริง ๆ พี่เริ่มตั้งแต่ปี 2550 นับถึงวันนี้ก็สิบกว่าปีแล้ว”
เมื่อความยากคือการพิชิต “ใจตัวเอง” แหล่งความรู้ที่เข้าถึงง่าย จ่ายไม่แพง!
พี่ต้องขอขอบคุณ “ศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด” ด้วยเพราะว่า เป็นที่แรกที่พี่ได้ก้าวขาเข้าไป พี่ก็ได้แนะนำหลาย ๆ คนนะพี่บอกทุกคนว่ามันอาจจะเจอวิกฤตในชีวิตเหมือนกัน เริ่มต้นที่ไม่ได้มีเงินมากมายที่จะไปเรียน พี่ก็คิดว่าฉันจะทำยังไงดีฉันมีเงินอยู่เท่านี้แล้วจะไปเรียนอะไรดี? พี่ก็เลยใช้อินเตอร์เน็ตนี่แหละเสิร์ชในกูเกิ้ลจนกระทั่งไปเจอกับศูนย์ฝึกอาชีพที่ใกล้ ๆ บ้านพี่(ศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด) พี่ก็เลยเข้าไปเรียน“ลองเรียนเบเกอรีซิ เรียนอาหารคาวซิ คอร์สโน่นนั่นนี่หมุนเวียนเรียนไปเรื่อย ๆ ก่อนในช่วงนั้น” พี่ก็เลยอยากจะบอกกับทุก ๆ คนที่แบบวันนี้ฉันอยากเรียน แต่เงินฉันมีเท่านี้ เงินฉันมีน้อยมากแล้วจะเรียนอะไรดี หรือฉันเรียนไม่ได้แล้วชีวิตนี้หรือเปล่า? ไม่ใช่ คุณเรียนได้แต่คุณต้องหาว่า อะไรล่ะที่มัน ตรงไหนหน่วยงานไหนที่เขาช่วยซัพพอร์ตเราได้ “ณ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วละกัน ก็มีค่าสมัครเรียนอยู่ที่ 20 บาทค่ะ (ทุกคนเข้าถึงได้) และก็ไปเรียนช่วงเสาร์-อาทิตย์ เป็นวันหยุด แล้วก็สิ่งที่ยากที่สุดคืออะไรรู้ไหมคะ การที่เราขุดตัวเองออกจากที่นอน” สามารถทำได้และพี่ก็ไปเรียนอย่างนั้นมาครึ่งปี เสาร์-อาทิตย์ของพี่คือศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด พี่ก็ได้ตามเป้าหมาย พี่สามารถทำขนมได้ รู้จักแป้งว่า อันนี้แป้งอะไร อันนี้เนยอะไร แต่ก่อนไม่รู้จักเลย แป้งขนมปังมันเป็นยังไง แป้งเอนกประสงค์คืออะไร แป้งสาลีคืออะไร พอหลังจากจบที่ศูนย์ฝึกอาชีพมาพี่รู้จักหมด“แล้วการเรียนดีอย่างหนึ่งไม่ว่าเราจะเรียนอะไรมาก็แล้วแต่ ปัจจัยของที่เรียนกับบ้านเราไม่เหมือนกัน อย่างของบ้านเราอาจจะเป็นเตาอบบ้าน ๆ เงี้ยเป็นแมนนวลเตาอบแก๊ส แต่ของที่เรียนเป็นเตาอบไฟฟ้าอย่างเงี้ย เพราะฉะนั้นการที่เรากลับมาทำมาฝึก มาปรับ และจนอันนั้นแหละมันคือตัวตนของเรา คือสิ่งที่ใช่สำหรับเรา” แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พี่อยากบอกนะคือ นอกจากว่าเราไปหาสรรหามาแล้วเนี่ยก็ต้องมานั่งคุยกับตัวเอง ว่าสิ่งที่เรารักคืออะไร
ทำไมต้อง “น้ำพริกปลาอินทรี”?
แล้วอะไรล่ะที่เราชอบจริง ๆ หยิบขึ้นมาทำให้มันเป็นเขาเรียกว่า “ฮีโร่โปรดัก” ของเราพี่ก็มาเจอ น้ำพริกปลาอินทรี นี่ละแต่ถามว่าจริง ๆ น้ำพริกปลาอินทรีที่เห็นอยู่นี้พี่ก็ไม่ได้อยู่ ๆ พี่จะรู้สูตรทำเป็นนะ มาจากการเรียน เรียนกับอาจารย์ท่านหนึ่งมาแล้วอาจารย์ก็สอนพี่ให้สูตรพี่ แล้วพี่ก็มาทำพัฒนาปรับปรุง“คือในความเป็นน้ำพริกมันมีทั้ง น้ำพริกเปียก-น้ำพริกแห้งใช่ไหมคะ แต่ตัวพี่มันก็เกิดจากความที่เราชอบอีกนั่นแหละ ชอบกินน้ำพริกแห้ง ๆ คลุกข้าวสไตล์น้ำพริกนรก แล้วก็ชอบกินปลาอินทรีเค็มพี่รู้สึกว่า เออมันหอมนะ ก็พออาจารย์สอนสูตรนี้มาพี่ก็เลยแบบเฮ้ย! อันนี้แหละ” ลองเลย พอลองทำแล้วก็ไม่ได้ขายก่อนนะ เอาไปแจกเขา ไปทำบุญ เอาไปแจกที่ทำงานบ้าง โน่นนี่นั่นบ้าง ผลตอบรับมาแบบเฮ้ย! อร่อย(หัวเราะ) เขาก็บอกเฮ้ยอร่อยขายสิ มั่นใจแล้วว่าสินค้าตัวนี้ของเรามันไปได้ แต่ว่ากว่าที่ว่าเขาจะออกมาเป็นหน้าตาแบบนี้ ที่มาที่ไปคือมันก็ไม่ใช่ว่าเราไปซื้อของตลาดมาแล้วก็มาทำได้เลยเนาะ พี่ก็พิถีพิถันกับเรื่องของวัตถุดิบ“เชื่อไหมว่าพี่ไปถึงโน่นเลยนั่งรถไฟไปกับแม่กับลูก ไปที่ตลาดร่มหุบนะ(แม่กลอง) คือพี่มีความตั้งใจว่าพี่อยากจะไปดูว่าร้านที่มันมีคุณภาพ ร้านไหน? แล้วการที่ปลาเค็มพอเราเข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วเรารู้แล้ว ปลาเค็มเก่า-ปลาเค็มใหม่ มันต่างกันยังไงนี่ก็คือคุณภาพปลาเค็ม คืออันนี้พี่บอกเลยถ้าเป็นปลาเค็มที่ใหม่ ๆ นะไม่ได้เป็นปลาเค็มที่ค้างปี เนื้อข้างในเขาเวลาที่เราผ่าออกมาแล้วเนื้อเขาจะเป็นสีชมพูเรื่อ ๆ แต่ถ้าเป็นปลาเค็มเก่าอย่างเงี้ย เนื้อจะซีด ซีดเลยไม่มีความเป็นสีชมพูเลย ก็คือพี่ตอบตรงนี้ว่าพี่อยากให้สิ่งที่ดีกับลูกค้า สิ่งที่ดีกับคนกิน เพราะว่าน้ำพริกที่พี่ทำในบ้านพี่ก็กินเองเหมือนกัน”
ตอนนี้ที่พี่มีจะอยู่ที่ระดับความเผ็ดที่เดิมพี่ทำ ความเผ็ดระดับปานกลาง แล้วต่อมาก็จะมีลูกค้าทุกอย่างคือเราได้จากลูกค้าเนาะ
ลูกค้าบอกว่าขอเผ็ดน้อยกว่านี้หน่อย แม่กินไม่ได้ ลูกกินไม่ได้ เราก็จัดเป็นเผ็ดน้อย จากเผ็ดน้อยบางคนบอกขอพริกเยอะ ๆ ชอบแซ่บ ๆ พี่ก็โอเคเลยเราก็จะได้มี ถึงเรามีแค่หนึ่งตัวตอนนี้แต่เรามีเผ็ด 3 ระดับแล้วนะ ปรากฏว่าเวลาลูกค้าหนึ่งท่านซื้อบางคนก็แบบเอาเลยทั้ง 3 อย่างเลย ซึ่งแต่ก่อน มันทำให้เราเขาเรียกว่าเราได้ยอดการขายเพิ่มขึ้นด้วยนะ
“คือได้มาจากลูกค้าทั้งนั้นเลย ลูกค้าบอกอันนี้ไหม? อันนั้นไหม? พี่เอาแบบนี้หน้าตาเป็นแบบนี้ แม้กระทั่งเรื่อง Packaging ก็เหมือนกัน คือแรก ๆ พี่ก็บ้านบ้านมากเลยนะ เอ๊ฉันทำน้ำพริกมาจะใส่แค่กระปุกแบบกระปุก 2 ออนซ์ 3 ออนซ์อย่างเงี้ยละค่ะปิดฝา ก็เท่านั้น ซึ่งในแง่ของการที่มันทำให้โปรดักของเราดูมีมูลค่าหรือเปล่าไม่นะ! แต่จริง ๆ น้ำพริกของเรามันมีคุณค่ามากเลยนะ เพราะมันทำมาจากเนื้อปลาอินทรีจริง ๆ เลย เอ๊แล้วยังไงดีนะ” ก็พัฒนาเป็นถุงซิปล็อคแล้วก็ทำแบรนด์ ทีนี้แบรนด์มาตอนแรกไม่ใช่แบรนด์พี่ออกมาเป็นแบรนด์ชื่อ แบรนด์หนวดหน้าเหี้ยม หวังสร้างเป็นคาแรคเตอร์ให้กับน้ำพริกนี้ว่ามีรสจัดจ้าน! แล้วพอต่อมาคนก็จะถามเยอะว่า เฮ้ยพี่ตุ๊กตาน้ำพริกมันทำไมมันเป็นโลโก้นี้ทำไมมันไม่เป็นโลโก้พี่วะ ก็เลยปรับถ้างั้นพี่เลยออกแบรนด์ตัวเอง“ออกแบรนด์ตัวเองกลายมาเป็นแบรนด์พี่ตุ๊กตาที่เห็น เออในเมื่อเราก็เป็นคนทำเนาะ งั้นเรามาอินกับน้ำพริกเราก่อนดีกว่าพี่ก็เลยปรับ(รีแบรนด์) เปลี่ยนเป็นแบรนด์พี่ตุ๊กตาทำสติกเกอร์ใหม่หมดเลย สิ่งที่เกิดขึ้นเฮ้ย! มันขายดีกว่าเดิมว่ะ”
ค้นหาตัวเองเจอแล้ว ก็ต้อง “รักตัวเอง” ให้มากพอด้วย
กว่าเราจะมาเจอตัวเราในวันนี้มันก็ใช้เวลามาพอสมควร แต่ก็ดีที่เราไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อนแล้วก็คิดไว้ว่า พอหลังเกษียณเนาะเราก็ยังมีโปรดักของเรา เราก็ยังมีเส้นทางของเราที่ชีวิตนี้ไม่เหงาหรอก แน่นอนเพราะว่า เป็นคนที่ชอบการทำอาหาร เป็นคนที่ชอบการขาย“แล้วเราจากครั้งที่ได้ไปออกบูธในงาน “มนุษย์ต่างวัย” Fest 2025 มันทำให้พี่เจอตัวตนของตัวเองอย่างหนึ่งว่า จริง ๆ แล้วเราเป็นคนชอบคุย ก็เมื่อปีที่แล้วประมาณเดือนพฤษภาฯ พี่ก็เห็นฟีดขึ้นมาในเฟซบุ้กว่าทางเพจมนุษย์ต่างวัยรับสมัครคนอายุประมาณนี้ ที่จะเข้าไปอบรมในโครงการนี้ ๆ อบรมในวันเสาร์-อาทิตย์วันหยุดอย่างเงี้ยค่ะ พี่ก็เลยแบบเห็นแว้บแรกสนใจมากก็เลยสมัครเข้าไป” ก็ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 60 คน ซึ่งเท่าที่ทราบคนสมัครเข้าไปเยอะมาก ก็ได้ไปเรียนอยู่ 2 เสาร์เป็นเรื่องของ ค้าขายออนไลน์ไม่ต้องง้อหน้าร้าน แต่ถามว่าเราทำอยู่ไหม? เราก็ทำอยู่แต่ว่าเราก็ยังอยากได้อะไรเพิ่มเติม เพราะว่าเราเห็นจากอาจารย์ที่มา(Guest) ก็เห็นว่าเป็นเกี่ยวกับเรื่อง Marketing น่าสนใจเพราะว่าพี่ไม่มีความรู้เรื่องของมาร์เก็ตติ้งเลย ฉะนั้นการที่เราขายของเราต้องรู้ เราต้องพัฒนาตัวเอง และก็ทำให้ตัวเองเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว“พอเราเอาตัวเองออกมา มาเจอคน มาเจอคนที่เขามีพลังงานคล้าย ๆ เรา ความคิดคล้าย ๆ เรา แล้วเราเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ มันยิ่งทำให้เราแบบแอคทีฟ มีไฟอยากไปต่อ”
แต่มันก็มีเหมือนกันนะบางช่วงก่อนที่เคย มันก็เป็นอาการแบบว่า เออบางวันฉันก็อยากทำ บางวันฉันก็ไม่อยากทำ บางวันใจมันก็เหี่ยว บางวันใจมันก็ฟู บางวันนะทั้งที่มีออร์เดอแต่เอ๊ทำไมวะวันนี้ฉันไม่อยากอะไรเลย“คือมันอยู่ที่ใจพี่มาเจอแล้วว่า มันอยู่ที่ใจเราเนี่ยแหละ ถ้าใจเราไม่มีความสุข เราไม่ได้กลับมารักตัวเองให้มากพอ ไม่ได้กลับมาดูแลเขาให้มากพอ บางทีเราดูแต่คนรอบข้างนะ แต่เราลืมที่จะให้ความสุขกับตัวเองให้ใจตัวเอง มันจะทำให้เราเหี่ยวเลยมันเหมือนกับว่า พลังงานเราหมด ก็กลับมารักตัวเอง เยอะ ๆ พอเรารักตัวเองแล้วพลังงานเราดี เราจะส่งต่อพลังงานดี ๆ ออกไปให้คน” พี่มี 2 เรื่องที่ทำให้พี่ขึ้นมาเป็นแบบนี้ได้ 2 เรื่องก็คือ เรื่องที่พี่ไปเจอเพจมนุษย์ต่างวัย แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งก็คือพี่กลับมา “คุยกับตัวเอง” ในวันที่พี่ไม่มีกำลังใจ แล้วพี่ก็เจอว่าเรา ต้องรักตัวเองก่อน แล้วพี่ก็ไปทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วไปเรียนเกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาความคิดของตัวเองด้วยเพื่อที่เราจะเอาพลังงานดี ๆ ให้กับตัวเราเอง เวลาที่พี่ทำอาหารมันเหมือนพี่แบบดื่มด่ำอยู่ในโลกของพี่ พี่จะเปิดยูทูบฟังที่เขาพัฒนาตัวเองแล้วก็ดูอะไรที่มันเกี่ยวกับการทำให้ Mindset ของเรามันขึ้น มันไม่ติด (มันไม่ลบ)
เปลี่ยนวันหยุดให้เป็นการสร้างรายได้(เสริม) หลักเฉียดแสน/เดือน!
จุดเกิดของพี่มันก็มาจากการที่เริ่มแรกเลย “การให้” พอให้แล้วคนรู้ว่าเรามีสินค้า เขาก็สั่งออร์เดอ จากที่แบบปากต่อปากคนรู้จัก กลายเป็นคนรู้จักไปบอกคนรู้จักของเขาก็กลายเป็นออร์เดอที่แบบมาเรื่อย ๆ“แล้วพอต่อมาพี่มีออนไลน์พี่เปิด LINE OA ขอแอดคนเข้ามา ตอนแรก ๆ ก็ยังไม่ได้เยอะหรอกค่ะ แต่ก็มีลูกค้าที่เพิ่มขึ้นช่วงที่ไปกับงานของเพจมนุษย์ต่างวัย ก็มีลูกค้าแอดเข้ามาเยอะแล้วพี่ก็ทำสติกเกอร์ ออกแบบสติกเกอร์ใหม่ ให้มี LINE OA สำหรับแอดเข้ามาที่ตัวกระปุกด้วย เพราะฉะนั้นก็จะมีลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาจากการที่เขาซื้อตัวสินค้าไป และก็มีขายบนแพลตฟอร์มของช้อปปี้ด้วย” ทีนี้การแบ่งเวลาของพี่คือ เสาร์-อาทิตย์พี่ผลิต แล้วอาจจะสงสัยว่าพี่ไปซื้อของยังไง หลังจากที่เราไปเจอต้นตอแหล่งแล้วเราก็สั่งขนส่งให้เขาส่งมาให้เราก็ไม่ต้องไปเองแล้วพวกต่าง ๆ ที่เราใช้ทุก ๆ อย่างเราหาจากแหล่งที่ดีแล้วก็เวลาหมดพี่ก็คุยในไลน์กับเขาส่งของมาให้หน่อย“ทีนี้พอมาถึงเรื่องการผลิตพี่ก็จะเลือกวันผลิตที่เป็น วันหยุดของพี่กับวันเสาร์-อาทิตย์ ถามว่าเอ๊ะมีไหมนะที่ระหว่างสัปดาห์เนี่ยของมันหมดแล้ว แล้วลูกค้าสั่งมาอย่างเงี้ย มีค่ะ เชื่อไหมว่าพี่ตื่นตี 3 มาผัดน้ำพริกใช่ค่ะอย่างเงี้ย ก็มันเกิดจากความรักจริง ๆ นะ” เพราะว่าไม่งั้นเขาต้องรอพี่สมมติว่าสั่งวันจันทร์ของพี่หมด พี่ทำเสาร์-อาทิตย์ก็ยังมีขายได้ถึงวันอังคารได้ ถ้าลูกค้าสั่งมาวันพุธเขาก็ควรจะได้ของสักพฤหัสฯ ถ้าหมดแล้วต้องรอไปอีกโอ้โหมันก็ นึกถึงใจเขาใจเราเวลาซื้อของ
แล้วก็ตัวสินค้าพี่ตัวนี้ก็คือเขามี shelf life อยู่ได้ 6 เดือน อันนี้ก็คือว่าอยู่ในกระปุกโดยที่ยังไม่เปิดฝาซีลนะแต่ถ้าเปิดแล้ว
แนะนำให้เก็บในตู้เย็นก็จะอยู่ได้ 6 เดือนเหมือนกัน ถามว่าแล้วมันเก็บได้นาน 6 เดือนมาจากไหน? อันนี้มีการปรึกษาอาจารย์เอาของไปให้ดูด้วยแล้วก็มีการเทสต์กับตัวพี่เองด้วย ว่าของพี่เก็บไว้เท่านี้มันยังเหมือนเดิมไหม ถึงกล้าบอกว่าเก็บได้ 6 เดือนแล้วพี่ใส่ยาใส่สารกันบูดเหรอ ก็ไม่ใช่ คือต้องยอมรับว่ามันเป็นน้ำพริกแบบโฮมเมด(ปรุงด้วยกระบวนการผัดในกระทะจนแห้งสนิทดีแล้ว) แต่ว่าพี่ก็ไม่ได้ใส่จริง ๆ ผงชูรสพี่ก็ไม่ได้ใส่เลย“กำลังการผลิตต่อวันก็ได้ประมาณ 12 กก.(หรือประมาณ 120 กก./เดือน) แล้วก็พอพี่ผัดเสร็จแล้วพี่ก็จะรอให้เขาเย็น แล้วก็ถึงจะมาบรรจุกระปุกแบบนี้ ขนาดบรรจุก็คือจะมี 2 ไซซ์นี้ 50 กรัมและก็ 90 กรัม รสชาติก็มี 3 รสให้เลือก(เผ็ดน้อย เผ็ดกลาง เผ็ดมาก) ส่วนราคาตอนนี้ก็จะอยู่ที่ กระปุกใหญ่ 90 กรัม ราคา 99 บาท แล้วก็กระปุกเล็ก 50 กรัม ราคา 59 บาท(หรือ1 กก. ราคา 700 บาท) พี่ก็จะมีทำโปรโมชันแจ้งลูกค้าเป็นรายเดือนไป จะอยู่ใน LINE OA ว่าเดือนนี้เราจะมีโปรอะไรบ้างอย่างเงี้ยค่ะ”
ขอบคุณนะ....ที่ทำ “น้ำพริกชุบชูใจ”
คุณรัสรินทร์ จิรภัทร์วรนนท์ เจ้าของแบรนด์ “พี่ตุ๊กตาน้ำพริกปลาอินทรีย์” บอกด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่พี่อยากจะบอกคือ แรก ๆ
พี่ไม่ได้มีความศรัทธา ไม่มีความเชื่อทั้งในตัวเองกับในตัวสินค้าสักเท่าไร คิดว่าเออก็ลองทำดูก่อน แต่พอมาถึงวันหนึ่งที่ตอบโจทย์ในสิ่งที่พี่คิดได้ว่า ชีวิตหลังเกษียณมันต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วตรงนี้ล่ะค่ะพี่มองเขาว่าเขาเหมือน “ลูก” พี่ แล้ววันหนึ่งเขาเติบโตพี่ก็รักและก็ศรัทธาในตัวเขา แล้วก็บอกกับเขาว่าเราจะโตไปด้วยกันนะลูก“พี่ก็ฝันนะคะว่าวันหนึ่งเนี่ยสินค้าของพี่จะแตกไลน์ ไปเป็นตัวอื่น ๆ อีกไม่ได้มีแต่รสปลาอินทรีอย่างเดียว แล้วก็พี่ก็อยากที่จะฝันไปถึงการที่เราจะได้ขายไปถึงต่างประเทศ ซึ่งจริง ๆ ตอนนี้ได้ไปแล้วนะหลายประเทศด้วยเพียงแต่ว่าไปแบบ การที่เขาหิ้วไป เอาไปฝาก ไปหลายประเทศมากค่ะ” ถ้าเราทำให้มันเป็นระบบแล้วก็เข้าสู่การขอ “อย.” อะไรต่าง ๆ ตรงนี้ พี่ก็ขอสมัครเข้าไปในโครงการของ สสว. ด้วยเพื่อที่จะไปขอความรู้ ก็บอกกับลูกของพี่นี่แหละว่าเออเราจะเติบโตไปด้วยกัน แล้วก็เราจะไม่เหงาแน่ในวัยเกษียณ เพราะว่าถึงขนาดนี้ตอนนี้ยังไม่เกษียณก็ไม่ได้เหงาเลย(หัวเราะ) มันสนุกกับการขายก็มีลูกค้าติดต่อเข้ามาแบบ เยอะแล้ว เยอะแล้วจริง ๆ
ก็ภูมิใจกับเขาแล้วก็การเกิดขึ้นตรงนี้มันก็ เชื่อไหมพี่พูดกับเครื่องมือทำมาหากินพี่ด้วยนะ พี่พูดกับกระทะพูดกับเครื่องซีลของพี่นะว่า เออขอบคุณนะแล้วก็ทำให้พี่ได้มีวันนี้ วันหนึ่งฉันก็จะไปแบบให้ได้มากที่สุดอย่างที่จะทำได้ พี่คิดว่าถ้าตัวพี่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้วก็ไม่ได้เป็นน้ำที่เต็มแก้วเนาะ แล้วก็มีใจที่เขาเรียกซื่อสัตย์ต่อลูกค้าจริง ๆ วันหนึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะตอบแทนสิ่งดีกลับมาให้พี่ “เหมือนเช่นพี่เริ่มก้าววันนี้ค่ะก็มีอะไรดี ๆ กลับมาให้พี่ได้ชื่นใจทุกวันเลย อย่างลูกค้าส่งมาใน LINE OA บอกขอบคุณมากนะที่ได้ทำน้ำพริกให้ ทำให้คนที่บ้านกินข้าวได้เยอะ จากบางคนที่แบบเขาไม่ค่อยชอบทานข้าวเลยไม่ชอบกินข้าวเลยพอเขาได้น้ำพริกพี่ไปโรย ๆ ข้าว วันนั้นเขากินข้าวได้เยอะเลย แบบเออขอบคุณที่ทำน้ำพริกชุบชูใจ โอ! พออ่านแล้วแบบโอ๊ตายแล้วดีใจมากเลยแบบอือ.. ตุ๊กตาเธอเก่งว่ะ พูดกับตัวเองแบบนี้เลย” จากวันหนึ่งที่แบบไม่เห็นคุณค่าตัวเองจนมาถึงวันนี้ แล้วก็มีอะไรแบบนี้ และพี่ก็เชื่อว่าหลาย ๆ คนทำได้ ก็อย่าหมดศรัทธาหมดรักในตัวเอง รักตัวเองมาก ๆ และก็ความรักในครอบครัวคือสำคัญมาก ๆ แล้วสิ่งหนึ่งที่เราต้องมีให้กับคนเยอะ ๆ ก็คือเรื่องของน้ำใจ ตราบใดที่เราให้น้ำใจกับคนอื่น สิ่งเหล่านี้จะกลับมาหาเรา
บุกเบิกธุรกิจสู่ชีวิตซีซั่น 2 “พี่ตุ๊กตาน้ำพริกปลาอินทรีย์” เริ่มต้นจากการให้สู่รายได้หลักเฉียดแสน/เดือน! ขอบคุณ Mindset ดี ๆ สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อไปสู่ #ชีวิตซีซั่น2 ที่อาจไม่ได้หมายถึงแค่วัยเกษียณ แต่ยังรวมไปถึงความไม่มั่นคงต่าง ๆ ในชีวิตของแต่ละคนจนเป็นสาเหตุนำไปสู่การต้องเริ่มต้นใหม่อย่างไม่ได้เตรียมใจก่อนด้วย ชีวิตต้องดำเนินต่อไป.. เป็นกำลังใจให้กันและก็ขอให้แต่ละคนได้ค้นเจอทางเดินของตัวเองที่เกิดขึ้นเสมอ ขอบคุณพี่ใหญ่ใจดีที่กรุณามาร่วมแชร์ประสบการณ์เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจดี ๆ ในครั้งนี้
สามารถติดตามผลงานหรืออุดหนุนน้ำพริกปลาอินทรีที่รับรองได้ว่าข้าวต้องเปลืองหมดหม้อแน่ ๆ ในแต่ละครั้งที่เปิดกระปุกน้ำพริกของพี่ตุ๊กตา ได้ที่เพจ น้ำพริกพี่ตุ๊กตา และช่องทาง LINE OA พิมพ์ @tukta
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด