ปีนี้ 2568 เป็นอีกปีที่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไม่ว่าจะทำกิจการใด เหมือนจะต้องรับบทที่หนักหน่วง เพื่อจะนำพากิจการให้อยู่ตลอดรอดฝั่งไปได้ เช่นเดียวกับ Panda King Samphran “แพนด้าคิงส์” สามพราน ร้านอาหารจีนสไตล์เสฉวน เปิดให้บริการมาได้ประมาณ 7 ปี ซึ่งบริหารงานโดยคนรุ่นใหม่ “นายศุรวีร์ เรืองแสง” (เจฟ) วัย 31 ปี อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข เพราะกว่า “เจฟ” จะพาแพนด้าคิงส์ มาถึงจุดที่สามารถสร้างรายได้ ก้าวข้ามคำ “เจ๊ง” ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และหลายครั้ง เข้าใกล้คำว่า “เกือบจะเจ๊ง” แต่ก็ผ่านมาได้
มารู้จัก “แพนด้าคิงส์สามพราน” บริหารหนุ่มวัย 24 ปี
วันนี้ “ศุรวีร์” เจ้าของ Panda King Samphran “แพนด้าคิงส์” สามพราน ร้านอาหารจีนสไตล์เสฉวน ได้ออกมาถ่ายทอดประสบการณ์ ว่า ทำอย่างไร ก้าวข้ามคำว่า เกือบจะเจ๊งมาได้อย่างไร พร้อมกับมาบอกเล่า เรื่องราวของ แพนด้าคิงส์ สามพราน เริ่มต้นมาอย่างไร และปัจจุบันขายอาหารอะไรบ้าง รวมถึงกลุ่มลูกค้าเป็นใคร
สำหรับ “แพนด้าคิงส์ สามพราน” เป็นร้านอาหารจีนสไตล์เสฉวน ร้านเปิดตรงข้ามฟาร์มจระเข้สามพราน จังหวัดนครปฐม เปิดมาได้ประมาณ 7 ปี จุดเริ่มต้นของ แพนด้าคิงส์ สามพราน มาจาก “ศุรีวีร์” ในช่วงนั้น ย้อนไป 7 ปีอายุเพียง 24 ปี ทำงานเป็นไกด์นำเที่ยว แต่พอเห็นเพื่อนสนิท ครอบครัวทำร้านอาหารจีน ชื่อ แพนด้าคิงส์ กรุงเทพฯ มองเห็นโอกาส อยากจะเปิดร้านแบบนี้ ที่บ้านเกิด ก็เลยปรึกษาเพื่อนเจ้าของร้าน ซึ่งยอมที่จะสอนการทำให้ และยอมให้เราใช้ชื่อ แพนด้าคิงส์ มาเปิดที่บ้านเกิด สามพราน จนถึงทุกวันนี้
2 ปีแรกทุกอย่างดี ปีที่ 3 เริ่มสะดุด
ปรับตัวเปิดชาบูหมาล่าเพิ่ม ตามกระแส
ตอนเปิดแรกทุกอย่างก็ไปได้ดี เพราะไม่มีคู่แข่งย่านนั้นไม่มีร้านอาหารจีนสไตล์เสฉวนมาเปิดเพราะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ รสชาติอาหารของเราก็ไปได้ มีลูกค้ามากินอย่างต่อเนื่อง แต่พอผ่านไปสักระยะเข้ามาในช่วงโควิด ทุกอย่างเริ่มเงียบ พอดี มีกระแสของชาบู หมาล่า เข้ามา ก็เลยหันมาเปิดชาบู หมาล่า ที่เป็นบุพเฟ่ต์ เพิ่มเข้ามา หวังจะดึงคนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบการกินชาบู หมาล่า ในช่วงนั้นด้วย ทำชาบูมาได้ประมาณ สัก 5 ปี และก็ไปได้ด้วยดี ลูกค้าให้การตอบรับดี เท่ากับตอนนั้น ได้ลูกค้า 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ชื่นชอบอาหารจีนเสฉวน และ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบเมนูบุพเฟ่ต์ ชาบู หมาล่า
แต่พอเปิดไปสักระยะ ตอนหลังคู่แข่งชาบู หมาล่าเยอะมาก หลังจากที่โควิดเริ่มคลี่คลาย และมีร้านอาหารใหม่เปิดเยอะ ขึ้น เป็นยุคที่อินฟูลเอนเซอร์เข้ามารีวิว ลูกค้าเราก็เลยหายไปเยอะมาก ประกอบกับ ทุกอย่าง เหมือนเป็นวัฎจักร ของร้านอาหารด้วย พอมีร้านใหม่เข้ามา ร้านเก่าๆ ก็จะเงียบ ไม่ได้เงียบธรรมดา แต่เงียบแบบเกือบจะเจ๊ง เป็นที่มาของ การโพสต์ลงเพจ ถึงที่มาของคำว่า เกือบจะเจ๊ง และเรารอดมาได้อย่างไร
เกือบจะสิ้นชื่อ “แพนด้าคิงส์ สามพราน” รอดมาได้อย่างไร
“ศุรวีร์” หนุ่มวัย 31 ปี เผยเคล็ดลับนำพา แพนด้าคิงส์ ผ่านคำว่า “เกือบจะเจ๊ง” มาได้อย่างไร โดยเล่าผ่านการโพสต์หน้าเพจ ว่า “ต้องบอกก่อนว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นมาครบเกินปีแล้ว เลยคิดว่าเรามาแชร์ไอเดียซะหน่อย เมื่อประมาณเดือนต้นกุมภาพันธ์ ปี 2567 เราตั้งโต๊ะประชุม คุยกับพนักงานไว้ว่า ถ้าเกิดยังทำยอดกันได้แบบนี้ เราคงถึงเวลาต้องปิด เราจะให้เวลาสู้เฮือกสุดท้ายอีก 3 เดือน เราเลยมานั่งคุยกับตัวเอง ว่า จะทุบหม้อข้าวแล้ว เราจะทำยังไงดี ปรับอะไรกันได้บ้าง เพื่อให้เราไปต่อได้ สรุปได้ว่า”
1. สร้างเอกลักษณ์ - แพนด้าคิงส์ เป็นร้านอาหารจีนสไตล์เสฉวนๆแท้ๆ ที่เรามีการปรับรสชาติให้เข้ากับคนไทยมากขึ้น ที่มีความแตกต่าง ลูกค้าที่เคยมา ถ้าชอบก็ชอบเลย ส่วนใครยังไม่เคยมา ก็อยากให้เปิดใจมาลองกันสักครั้ง (ลองหาเอกลักษณ์ให้เจอครับ)
2. จริงใจ- สิ่งสำคัญที่จะทำให้ร้านไปต่อได้เลย คือเราต้องซื่อสัตย์ ไม่ว่าข้าวของจะราคาแพงขึ้น เราก็ยังยืนยันใช้วัตถุดิบคุณภาพ ไม่เคยลดคุณภาพ เพราะลูกค้ารับรู้ได้แน่นอน จะไม่ยั่งยืน
3. หมั่นทำบัญชี - ก่อนจะไปหน้าบ้าน หลังบ้านต้องแข็งแกร่งก่อน ทำบัญชีทุกวันให้ละเอียด แยกกระเป๋าให้ดี อย่าปน กระเป๋าเงินส่วนตัว กับร้านเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ออก จุดไหนที่ทำให้เกิดรอยรั่ว สิ้นเปลือง รีบยับยั้ง แก้ไข
4. รับฟังลูกค้า- เราคอยพูดคุยกับลูกค้าเสมอ ไม่ว่าจะทางออนไลน์ อ่านทุกคอมเม้น หรือ ออฟไลน์ คอยสอบถาม มีอะไรดี อะไรไม่ดี เพื่อคอยมาปรับปรุง และพัฒนาอยู่เสมอ ลูกค้าบอกที่ร้านร้อนไป เราก็ลงทุนซื้อแอร์เพิ่ม เอาใจทุกๆอย่าง
5. หาความเหมาะสมกับตลาด และโลเคชั่นที่อยู่- ระแวกสามพรานที่อยู่ ไม่ใช่แหล่งครอบครัวจีน ครอบครัวใหญ่ เราจึงปรับตัว ทำระบบสต็อคใหม่ทั้งหมด และปรับเมนู ไซส์เมนูอาหาร ให้มีตั้งแต่ไซส์ เล็กและใหญ่ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จนทุกวันนี้ลูกค้าบอกกันว่าราคาไม่แพงเลย การปรับไซต์เป็นจานเล็ก ช่วยทำราคาให้ถูกลง เหมาะกับกำลังซื้อคนในพื้นที่ ทำให้ลูกค้ามองว่าไม่แพง กลับมากินได้บ่อยขึ้น
6. โปรโมชั่น - อย่าไปหยิ่ง เจ้าใหญ่ยังทำโปรกันกระหน่ำ เราก็ต้องทำ ลองผิดลองถูกกันทุกๆเดือน โปรไหนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จดไว้ตลอดนะ และวิเคราะห์ด้วย ไม่ใช่ว่าทำไปแล้วขาดทุน ไม่เอา
7. ครอบครัว พนักงาน - เรียกว่าทีมงานละกันขาดเค้าไม่ได้ ผมมักจะลงมือไปด้วยกัน วันที่เราลำบาก เค้าจะช่วยเรา วันที่เหนื่อย เราอยู่กับเค้าเสมอ
8. ทำตัวเองให้อยู่ในโซเชียลเสมอ - เรายิงโฆษณาตลอด พยายามทำ คอนเท็นในทุกช่องทาง เอาตัวเองไปโพสต์ตามกลุ่ม Local
9. Influencer - ในยุคที่ Social ครอบงำ เราต่อต้านไม่ได้ เราก็ต้องเข้าร่วม แต่ผมไม่เคยบอกให้ใช้เงิน มีกลุ่ม KOL, influencer หางานอยู่มากมายครับ ลองไปโพสต์ให้เค้าทานฟรี ดู win-win Strategy, เค้าได้ทานฟรี เราได้ Content (เสียค่าอาหาร) มันก็ต้องลงทุนด้วยนิดหน่อยนะครับ
10. Maximize efficiency- ข้อสุดท้ายละกันนะครับ ผมใช้วิธีนี้ เปิดร้านมาระยะนึง เราจะรู้ว่า ช่วงเวลาไหน พีค ช่วงไหนเงียบ ลองบริหารดู ช่วงเวลาเงียบจะหางานอะไรให้ทำได้บ้าง เช่น ที่ร้าน จันทร์-ศุกร์ เงียบ เราก็สร้างทีมไปออกบูธ เพื่อทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แบบความเสี่ยงต่ำ โดยที่ใช้ต้นทุนเท่าเดิม (ไม่นับค่าเช่า) หรือจะลองทำproducts ใหม่ๆ หาทางขายออนไลน์เพิ่มด้วย ทั้งหมดนี้ คือเหตุผลรวมๆ ที่ทำให้ยอดกลับมาได้ และยังอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
ท้ายสุดนี้ “แพนด้าคิงส์ สามพราน” ไม่ใช่ร้านอาหารดัง ที่คนทั้งประเทศรู้จัก แต่เป็นร้านอาหารที่ถูกบริหารโดยคนรุ่นใหม่ ก้าวขึ้นมาบริหารร้านด้วยตัวเองคนเดียวในวัยเพียงไม่ถึง 25 ปี ตอนเริ่มต้น ประสบการณ์ไม่มีเลย มีแค่ความตั้งใจ แต่ก้าวข้ามมรสุม และนำพาร้านอาหารแพนด้าคิงส์ สามพราน มาจนถึงวันนี้ วันที่ เจ้าของร้านบอกว่า คงจะไม่ไปถึงจุด “เกือบจะเจ๊ง” อีกแล้ว
ติดต่อ Facebook : Panda King Samphran
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด