xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) น้ำปั่นธนินธรสู่ร้าน “ปอกปั่น” สร้างอาชีพจากทุนหลักพันค่อย ๆ สะสมลูกค้าใช้ “คุณภาพ” สร้างความเชื่อใจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เพราะว่าหนึ่งมันใกล้กับแหล่งที่เราซื้อผลไม้ส่งด้วยแล้วก็จากเท่าที่ดูร้านกาแฟก็มีเยอะแล้วแต่ร้านผลไม้แบบนี้มันยังไม่มี ช่วงแรก ๆ ลำบากเหมือนกันค่ะเพราะเราเป็นหน้าใหม่ลูกค้ายังไม่รู้จักรายได้น้อยมากวันแรกยอดขายได้ 700 บาทยังไม่หักต้นทุน

เมนูปั่นจะเน้นรสชาติที่มาจากผลไม้เป็นหลักเลย
เป็นหน้าใหม่ด้วยและก็เป็นผลไม้ปั่นด้วยซึ่งแถวนี้มันไม่มีเลย มันก็เลยต้องใช้เวลาเก็บลูกค้า ค่อย ๆ สะสมฐานลูกค้ามานิดหนึ่ง” ชลิตา สร้อยทอง หรือคุณอ๋อ เจ้าของร้านปอกปั่นย้อนเล่าถึงเส้นทางอาชีพที่ทั้งสองคนร่วมกันบุกเบิกมา ในขณะที่คุณซันเดย์-พัฒนพงศ์ ทังสนิมิตสกุล (สามี) ก็กล่าวเสริมด้วย “ประมาณ3 ปีมั้งพวกผมถึงจะขายได้ประมาณวันละ 2 พันกว่าบาท 2 พันกว่าบาทนี่คือยอดขายนะยังไม่ได้หักกำไรนะ ใช่ครับ ตอนนั้นเรายังไม่ได้เริ่มขายผลไม้ฝั่งโน้นมีแค่น้ำ” รู้สึกท้อเหมือนกันเพราะว่ารายได้มันไม่พอ มันไม่พอสำหรับเราสามคน(พ่อแม่ลูก) แล้วพอสักพักหลังจากนั้นก็เลยคิดว่าอยากจะหารายได้เพิ่ม เราก็เลยหาอะไรใกล้ตัว ไหน ๆ เราก็ขายผลไม้ปั่นสดอยู่แล้วไม่ต้องแตกไลน์ไม่ต้องเพิ่มวัตถุดิบอะไรที่มากกว่าเดิม เราก็เลยเอามาขายฝั่งโน้นด้วยที่เป็นผลไม้ชั่งฯ เพราะเราก็ใช้วัตถุดิบเกรดเดียวกันเลยในการมาปั่น

แล้วก็จะให้เนื้อผลไม้แบบเน้น ๆ อย่างนี้กันเลย
วัยรุ่นสร้างตัว เริ่มต้นสร้างอาชีพด้วยทุนหลักพัน
ทั้งอ๋อและซันเดย์ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่ ไม่เคยทำงานประจำมาก่อนเลย เพราะพอตัดสินใจมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันทั้งสองก็เลือกที่จะมาในแนวของอาชีพค้าขายกันอย่างเต็มตัว“ปกติหนูจะช่วยที่บ้านที่บ้านหนูจะขายของตั้งแต่เด็ก ๆ ก็จะช่วยที่บ้าน บ้านเขาก็ค้าขาย แต่ว่าก็จะเป็นค้าขายคนละประเภทกันบ้านเขาจะเป็น ขายเครื่องเขียน แต่บ้านหนูจะขายพวกอาหาร น้ำเครื่องดื่ม ค้าขายกันคนละแบบ” อ๋อบอกด้วยตัวเองเรียนจบแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และส่วนซันเดย์ก็เรียนจบสายช่างก่อสร้าง(ปวช.) ซึ่งตอนมาเริ่มสร้างครอบครัวด้วยตอนนั้นทั้งคู่อายุประมาณ 22 ย่าง 23 ปีเท่ากัน“เพราะว่าเหมือนกับว่าเราชอบอะไรที่มันเป็นอิสระ ก็เลยเริ่มทำอาชีพค้าขายยาวมาเลยถ้านับตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงตอนนี้ร้านก็มีอายุ 10 ปีแล้ว” มุมมองหนูคือหนึ่งมันอิสระเราเป็นนายตัวเอง แล้วก็มันมีเงินเข้ามาทุกวัน ให้เราหมุน แต่ว่าเราก็ต้องดูแลเรื่องเงินตรงนี้ให้ดี จัดการบัญชีของเราให้ดี ตั้งแต่ตอนแรกที่บ้านหนูเขาขายน้ำ แต่ว่าทางที่บ้านจะเน้นเป็นพวกขายชา กาแฟ มากกว่าแล้วก็มีผลไม้แซม ๆ มาด้วยแต่ทีนี้พอ เรามาอยู่ทำเลตรงนี้แล้วเราอยากขายเป็นผลไม้มากกว่า“ก็เลยเริ่มต้นที่ร้านผลไม้ปั่นเล็ก ๆ ตอนแรกเป็นรถเข็นเล็ก ๆ นิดเดียว ลงทุนวันหนึ่ง 2 พันกว่าบาท”



เครื่องปรุงก็จะมีแค่ เกลือ กับนำ้เชื่อมสำหรับคนที่ยังชอบรสติดหวานอยู่ ก็สามารถบอกได้หมดจะเอารสแบบไหนที่ให้ใส่เติมลงไป
ใช้เวลาในการค่อย ๆ สะสม “ฐานลูกค้า” ใช้ “คุณภาพ” ในการสร้างความเชื่อใจ
เวลาทำเราจะทำสด ๆ ให้ลูกค้าดู จะไม่ใช่เป็นการเตรียมเอาไว้หรือปอกใส่ในแก้วรอแต่พอลูกค้ามาสั่งก็คือจะทำใหม่สด ๆ
ให้เดี๋ยวนั้นเลย อย่างผลไม้เป็นลูกที่หยิบมาทำให้ก็จะต้องล้างทำความสะอาดก่อนทุกครั้งถึงจะปั่นเสิร์ฟให้กับลูกค้า แล้วก็จะไม่มีการใส่หัวเชื้อหรือเติมอะไรใด ๆ ลงไปเลยโดยเน้นที่เป็นรสชาติของผลไม้ชนิดนั้นจริง ๆ แต่ว่าก็จะมี “น้ำเชื่อม” ให้สำหรับคนที่ชอบหวานด้วย สามารถสั่งให้เติมหรือไม่เติมก็ได้หมดเลย แล้วก็จะมี “เกลือ” สำหรับการตัดรส “เปรี้ยว” ให้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งบางทีลูกค้าบางรายที่เขามีปัญหาด้านสุขภาพก็จะบอกว่าไม่ให้ใส่เกลือก็มี “ฝั่งโน้นจะเป็นผลไม้ชั่งเป็นกิโลฯ ค่ะ ส่วนใหญ่เพราะว่าช่วงวันเสาร์-อาทิตย์คนเยอะ ลูกค้าจะเยอะ ร้านเราก็จะเริ่มวางขายตั้งแต่ 06.00น. พอถึงสักประมาณ 09.00น. มันก็จะเริ่มหมดแล้วบางอย่าง” ซันเดย์บอกว่าตนเองจะเริ่มเข้ามาตั้งร้านรอตั้งแต่ตี 3 แล้ว มาตั้งก่อนแล้วก็การแต่งร้านของผมจะไม่เหมือนใครด้วย มีการนำพร็อพต่าง ๆ มาวางมาจัดร้านเพื่อให้แผงผลไม้ที่ตั้งขายอยู่(ฝั่งตรงข้ามร้านน้ำปั่น) ดูมีความสะดุดตาสำหรับลูกค้าที่เดินผ่านไปมาด้วย“แต่ตอนแรกผลไม้มันไม่ได้เยอะขนาดนี้นะครับ มันจะเล็ก ๆ เองนะ เรามีแค่โต๊ะพับ (โต๊ะแดง) ตัวเดียวเองครับใช่”แต่ด้วยความที่ลูกค้าให้ความเอ็นดูร้านของเรากันค่อนข้างเยอะ แล้วก็ลูกค้าให้ความเชื่อใจมากเรื่องผลไม้ที่เขาซื้อไปจากร้านของเรา“ในการเลือกการคัดผลไม้ที่จะนำมาขายที่ร้าน ซึ่งเมื่อก่อนเราก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรกันมากนักค่ะจนพอ เราเข้าตลาดบ่อย ๆ มันก็จะแบบเหมือนดูเก่งขึ้น เราก็ถาม อาศัยถามแบบเจ้าของร้านที่เขาขายผลไม้กับเราอย่างงเงี้ย บางร้านเขาก็ใจดีเขาก็จะสอนจะบอกเรา เราก็จำมา”แล้วก็อย่างเวลาจะ “ปั่น” ผมก็ต้องชิมผลไม้ทุกอย่างให้มันรู้รสชาติก่อน อย่างบางวันหรือสมมุติว่าวันนี้ส้มออกรส “เปรี้ยว” บางวันส้มหวาน บางทีส้มหวานจืด คือส้มเนี่ยจะเป็นผลไม้ที่รส “เปลี่ยน” มากกว่าชนิดอื่น ๆ ถ้าเทียบกันแล้ว“เราก็จะต้องแจ้งลูกค้าก่อน เราก็จะแจ้งก่อนว่าเออวันนี้ส้มออกเปรี้ยวนิดหนึ่งนะคะ โน่นนี่นั่น ให้ลูกค้าตัดสินใจ เพราะว่าส่วนใหญ่หนูจะขายแค่เฉพาะช่วงหน้าของเขา(ผลไม้ตามฤดูกาล) เพราะว่าถ้าผลไม้ในฤดูกาลยังไงรสชาติของเขาก็จะดีอยู่แล้ว เราก็เลือกหรือคัดมาอีกระดับหนึ่งมันก็จะยิ่งดี แล้วสมมุติแบบถ้าลูกค้าเจอผลไม้ที่เสียอะไรเงี้ย แบบนอกเหนือการควบคุมของเราแล้วหนูก็จะเคลมให้ลูกค้า”


จัดเต็ม! รสชาติจากผลไม้เน้น ๆ ราคาดีเพราะค่าที่ไม่แรง! ลูกค้าก็แฮปปี้
เมื่อก่อนจะขายประมาณ 07.00 หรือ 08.00น. ผมถึงมาตั้งร้านนี่ผมก็เปลี่ยนเวลาใหม่ ตื่นตี4 ตี 5 มาตั้งร้าน 06.00น. แล้วก็ขายตั้งแต่ 06.00 น.จนไปถึงปิดร้านตอนทุ่มครึ่ง (19.30น.) ขายกันไปยาว ๆ เลยต่อวัน“ลูกค้าก็จะมี ถ้าจะเยอะก็เป็นช่วงเช้า ช่วงพักเที่ยง แล้วก็เย็นหลัง 17.00น. ไปแล้วที่คนเลิกงานกันค่ะ ก็จะเป็นช่วงเวลาประมาณนั้นที่คนจะเยอะนิดหนึ่ง” ส่วนใหญ่ก็คือจะเป็นกลุ่มของคนทำงาน(วัย 30 Up) ผู้ใหญ่ อย่างช่วงเช้า ๆ ก็จะเป็นกลุ่มของผู้ใหญ่หน่อยเป็นวัยเกษียณ“แล้วก็คือผมสั่งได้หมด ใส่น้ำตาลก็ได้ หวานน้อยก็ได้ หรือจะไม่ใส่อะไรเลยก็ได้แล้วแต่ บางคนเขาแบบเป็นโรคไตเขาไม่อยากใส่เกลือก็มีฮะแต่ส่วนใหญ่ลูกค้าที่นี่จะทานแบบหวานน้อย กว่า 80%จะทานกันแบบหวานน้อย เพราะว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างรักสุขภาพด้วยสำหรับเมนูซิกเนเจอร์ของร้านเลยก็คือจะเป็น มะพร้าวปั่น ลูกค้าบอกว่ากินที่นี่แล้วไม่เหมือนที่อื่น“เพราะว่าผมคัด “น้ำ” แยกน้ำ-แยกเนื้อ เนื้ออ่อนไปก็ใช้ไม่ได้ เนื้อแก่ไปก็ใช้ไม่ได้ฮะต้องแบบ กำลังดี อย่างมะพร้าวมันเป็นแผลที่ตูดทำให้ “น้ำ” มันก็เปลี่ยนมีรายละเอียดเยอะมากสำหรับมะพร้าว ซึ่งเราก็จะเน้นว่าต้องคัดเองทุกลูก แต่ก่อนหน้านี้คือผมก็ลองผิดลองถูกเหมือนกัน”




น้ำหรือว่าเมนูเครื่องดื่มของที่ร้าน “ราคา” เริ่มต้นตอนนี้ก็คือ 35 บาท แม็กซ์สุดเลยก็คือ 40 บาท ส่วนใหญ่จะไม่ขายเกินนี้ ก็จะมีบางเมนูอย่างพวกมะม่วง มะพร้าว หรือแบบพวกผลไม้รวมก็จะเป็น 40 บาท ซึ่งถ้าเมนูผลไม้รวมก็จะมีผลไม้ให้ 3 อย่าง(ลูกค้าเลือกได้) หรือถ้าคิดไม่ออกที่ร้านก็จะมีเมนูที่แนะนำไว้คร่าว ๆ ให้ด้วย “อย่างถ้าเป็นแอปเปิลก็จะใส่ให้อย่างละลูกไปเลย หรือมะม่วงก็ใส่อย่างละลูกให้ ก็คือเหมือนถ้าเลือกเป็น base ไว้ก่อน อย่างเช่น มะม่วงเป็น base เอาฝรั่งเป็น base ซึ่งมันก็จะมีตัวที่เป็น base อย่างเมนู “แอปเปิล สับปะรด มะนาว” แอปเปิลก็จะเป็นbase ของเมนูนี้เป็นต้น หรืออย่าง “มะม่วง ส้ม” มะม่วงก็เป็นbase (ตัวแรกจะเป็น base ก็คือจะใส่ผลไม้ทั้งผลลงไปปั่นในเมนูให้กับลูกค้า) ส่วนตัวอื่น ๆ ที่เหลือก็จะดูตามสัดส่วนในสูตรของเมนูนั้น ๆ ควบคู่ไป“มันก็ใส่ตามปริมาณที่เราวางไว้ ใช่ค่ะ อย่างสมมุติว่าเป็“แอปเปิล ส้ม มะนาว” ก็จะเป็นแอปเปิล1 ลูก ส้มประมาณ 2-3 ลูก แล้วก็มะนาวลูกหนึ่ง ประมาณนี้ค่ะ ต้องดูไซซ์แต่ละวันด้วย” ราคาที่เพิ่มขึ้นมาอีกกรณีหนึ่งก็คือ ลูกค้าขอเพิ่มโน่นเพิ่มนี่เองอีก แต่ว่าก็ไม่เคยเกิน 50 บาท/แก้ว จะไม่เคยเกินไปกว่านั้นสักที หรือว่าลูกค้าจะหิ้วอะไรมาให้ปั่น ผสมด้วยก็ได้ เพราะว่าอย่างตรงนี้จะมี Fitness อยู่บางทีก็มีลูกค้าหิ้วเวย์โปรตีนมาให้ผมปั่น ผสมกล้วย หรือใส่นมก็ได้ ทำให้ได้หมดเลย



เมนูนี้มีสับปะรด เสาวรส และก็เคปกูสเบอร์รี่
ในเรื่องของราคาที่ร้านขายอยู่ปัจจุบัน ก็ถือว่า “ผลไม้สด” แบบในราคาเท่านี้ มันหายากมากแล้วในกรุงเทพฯ หรือในแถวนี้ด้วย
แต่ว่าก็ต้องเป็น ผลไม้ตามฤดูกาลที่ทางร้านดูแล้วว่าขายให้ลูกค้าไปในราคาเท่านี้แล้วร้านเองก็ต้องอยู่ได้ด้วย “ทำเลตรงนี้คือโอเคสุด ๆ แล้วค่ะ ถ้าพูดถึงเรื่องค่าเช่าอะไรด้วยมันหายากมาก ที่มันจะแบบว่าได้ทำเลแบบนี้ ในราคาค่าเช่าแบบนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่ค่าเช่าก็จะแรงนิดนึง ถ้าทำเลคนเยอะ ๆ อันนี้ความโชคดีของเราก็คือว่า เราเช่ากับหมู่บ้านฯ แล้วเป็นในราคาที่มันแบบน่ารักนะค่ะ แล้วก็เหมือนว่าแถวนี้จะมีหมู่บ้านเราที่เป็นแบบตลาดของกินใกล้ที่สุดแล้วหมู่บ้านข้าง ๆ อย่างเงี้ยเขาก็จะเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในนี้ ซึ่งหนูว่าทำเลตรงนี้หายากมาก ๆ”

แผงผลไม้สดที่ตั้งขายควบคู่กันก็ขายดีมาก ๆ เช่นเดียวกัน
น้ำปั่นธนินธรสู่ร้าน “ปอกปั่น” ลงทุนต่อวันเฉพาะผลไม้ต้องมี 1 หมื่น
เป็นอาชีพที่เรารู้สึกว่าเราอยู่ได้แล้ว มันอยู่ได้แบบที่แบบว่าเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราอยู่ได้มากขึ้นโดยแบบสามารถส่ง “ลูก” เรียนได้ถือว่า แบบไม่ลำบากแล้วก็อยู่ได้เรื่อย ๆ“การลงทุนตอนนี้ต่อวันก็จะอยู่ประมาณ 1 หมื่นค่ะ หมุนเวียนทุกวัน ใช่ครับ และก็มีทอนอีกหมื่นนึงด้วย แล้วเราก็จะแยกกองแยกทุกวัน เราก็จะทำบัญชีทุกวันค่ะเพราะว่า ไม่งั้นเราจะใช้เงินผสมรวมกันหมด ใช่ แล้วก็มันแยกต้นทุนผลไม้ไม่ได้ด้วยครับถ้าสมมุติเราไม่ทำบัญชี ใช่ ทุกวันนี้ก็ต้องแยกเป็นกองไว้ค่ะเราต้องมีมาคืนตรงนี้ทุกวัน กองที่เราตั้งเอาไว้ แต่ถ้าสำหรับหมุนผลไม้เลยก็คืออยู่ที่ 1 หมื่น”เราก็เริ่มคิดว่า เราต้องมี “แบรนด์” เราควรจะมีแบรนด์เป็นของเราเป็นโลโก้ของเราติด ชื่อปอกปั่นหนูตั้งให้มันตรงกับคาแรคเตอร์ชื่องของร้านเรามันบอกความเป็นเราได้ทุกอย่างเลย “ก็ผมขายมาตั้งหลายปีไม่มีชื่อร้านนะ(หัวเราะ) เขาก็เรียกว่าเมื่อก่อนเขาก็เรียกน้ำปั่นธนินธร เพราะเราอยู่หมู่บ้านธนินธรเขาก็จะเรียกกันอย่างนี้” ยอดขายต่อวันถ้าเท่าที่หนูเคยคำนวณค่าใช้จ่ายฟิกซ์ของเรา มีค่าเช่า(ล็อคละ 500 บาท) ฝั่งนั้น 3 ฝั่งนี้ 2 แล้วก็ค่าน้ำ-ค่าไฟ(แยกมิเตอร์) ก็จะอยู่ประมาณ 3,600 บาท/เดือนคือมันต้องอยู่ที่ประมาณ 2,200-2,500 แต่ละวันนะคะเฉพาะกำไรที่เราต้องหัก เพราะมันมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นด้วย ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ก็มีค่าเทอมลูก ฯลฯ คือเราต้องคิดทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องหาเอาไว้” ถ้าเราขายทั้งสองอย่างควบคู่กันตั้งแต่ 06.00น.-19.30 น. มันก็ได้


หัวใจหลักของการทำค้าขายที่สำคัญ คือต้องทำ “บัญชี”
ส่วนใหญ่พวกเราจะเน้นการคุยกันตลอด คุยกันทุกวัน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเราทำ “บัญชี” เช็กอะไรอยู่อย่างนี้ทุกวันเราก็จะรู้ว่า ปัญหาเราเกิดจากตรงไหน ช่วงนี้ทำไมเราไม่มีกำไรเราก็จะพยายามหาว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แล้วเราก็ค่อย ๆ แก้ มันจะเป็นอย่างนี้มากกว่า ปัญหามันมีมาเรื่อย ๆ แต่เราจะเน้นคุยกันมากที่สุด พยายามแก้ปัญหาให้ได้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด คุยกันตลอดเลยสองคนนี่แหละ ไม่ค่อยทะเลาะกันคือเราอยู่กันแบบเป็นเพื่อนไปเลย แล้วอีกอย่างมีลูกด้วยก็ต้องคิดหน้าคิดหลังคือคิดให้เยอะกว่าเดิม “มีคนเดียวครับ คนเดียวพอแล้ว(หัวเราะ) เศรษฐกิจแบบนี้ด้วยมีลูกคนเดียวพอ 10 ขวบแล้วฮะตอนนี้ ปีนี้ก็เข้า 10 ขวบ “ร้าน” เท่าอายุของเขาใช่ค่ะ เพราะว่าเริ่มมาตอนที่เขาได้ประมาณ 3 เดือน ก็ย้ายมากันเองนี่แหละอยู่กันสามคน” คือถ้าใครมาทำค้าขายหนูแนะนำเลย ยังไงก็ต้องทำ “บัญชี” ทำแบบเบื้องต้นง่าย ๆ ก็ได้เพราะว่า ถ้าเราไม่ทำบัญชีเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันนี้เรามีรายรับเท่าไร ซื้อไปเท่าไร-จ่ายไปเท่าไร ขายได้เท่าไร เราเหลืออะไร เหลือกำไรเท่าไหร่ แค่นี้ก็พอ คือถ้าไม่ทำอันนี้บางทีเราก็อาจจะอยู่มาไม่ถึง10 ปีนี้ก็ได้

แก้วนี้คือกล้วยหอมXมอลต์ปั่นรวมกัน รู้ใจกันดีทั้งลูกค้าก็พ่อค้าเจ้าของร้านนี้
อาชีพค้าขายก็สร้างสวัสดิการให้กับชีวิต และมีเครดิตเข้าถึงแหล่ง “เงินทุน” ได้
ทั้งสองคน “คุณอ๋อ-ชลิตา สร้อยทอง และคุณซันเดย์-พัฒนพงศ์ ทังสนิมิตสกุล”เจ้าของร้านปอกปั่น ยังบอกด้วย แต่ว่าเราต้องหยุดทุกวัน “จันทร์กับพฤหัสฯ” เพราะว่าเขาจะเป็นเวรของตลาดนัดที่นี่เขาจะมีตลาดนัดอีกทีหนึ่ง“ก็เดือนนึงใช่ไหมมันจะขายได้ประมาณ 22 วันแต่ผม คิดแค่ 20 วันเผื่อเหลือเผื่อขาด ใช่ เผื่อว่าเราเป็นอะไรขึ้นมา เจ็บป่วยไม่สบาย คือเราก็ต้องมีเวลาพักด้วย” อ๋อเสริมอีกว่า คือเขาทำงานยาวนานมากเลยวันหนึ่ง ๆ มันจำเป็นที่จะต้องมีวันคั่นให้พักด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่าหยุด 2 วัน/สัปดาห์มันบาลานซ์ได้พอดี เพราะว่าเรื่องของสุขภาพอย่างเงี้ยมันก็สำคัญมาก

บรรยากาศการค้าขายของในตลาดหมูบ้านธนินธรช่วงเช้าวันเสาร์เกือบจะสาย ๆ แล้ว ของเยอะมากน่าซื้อหามาก
“แล้วก็ช่วง “โควิดฯ” ที่ผ่านมา ที่เขามีการ work from home กันใช่ไหม ผมขายดีมาก(หัวเราะ) ใช่ กลายเป็นช่วงทองของร้านเราไปเลย เพราะว่ามันจะมีช่วงที่รัฐออกมาตรการที่ว่าสแกนจ่าย “คนละครึ่ง” มันก็เหมือนว่าเราได้เดิน statement ไปด้วยครับ
เหมือนแบบว่าไม่ค่อยมีร้านรับสแกน แต่เรารับอย่างเงี้ยแล้วลูกค้าก็แบบยิ่งมาซื้อเยอะขึ้น” 
อ๋อเสริมเรื่องวิธีคิดในกา ทำงาน(ค้าขาย) ของพวกตนให้ฟังด้วย อันดับแรกเลยก็อย่างที่บอกไปคือต้องเริ่มจากการทำบัญชี แล้วเราก็จะรู้ว่าเราสามารถใช้จ่ายได้แค่ไหน แล้วก็พวกความเสี่ยงอย่างเช่น อย่างเราค้าขายมันต้องมีช่วงที่เราแบบเจ็บป่วยไม่สบายคือมันก็ต้องมี ของเราก็จะมี “ซื้อประกันฯ” ไว้เพื่อการลดความเสี่ยง เวลาเราเข้าโรงพยาบาลไปรายได้เรามันก็จะหาย เราก็ต้องมีประกันที่แบบครอบคลุมตรงนี้แล้วก็ชดเชยรายได้ของเรา อันนี้ก็เป็นการจัดการความเสี่ยงอีกเรื่องหนึ่งแล้วก็พวก ถ้าในชีวิตประจำวันเราก็ต้องดูรายรับเราให้ดี ว่าเราแบบใช้ได้แค่ไหน พยายามไม่ใช้อะไรที่มันแบบเกินศักยภาพที่เรามี จะใช้อะไรก็ต้องแบบคิดให้ถี่ถ้วนก่อนที่เราจะมีภาระอะไร เราก็ต้องลองดูก่อนอย่างสมมุติแบบ เราจะผ่อนรถเราก็ลองผ่อนกับตัวเองก่อน ว่าเรามีศักยภาพแค่ไหน

ราคาร้านนี้ดีต่อใจผู้บริโภคจริง ๆ
“ถ้าเป็นเรื่อง Bank อะไรอย่างเงี้ยเขาก็จะมีการวางแผนตั้งแต่แรก ๆ เลย เขาก็จะแบบไปเริ่มจดทะเบียนการค้าใช่ไหมคะ เดินสเตทเม้นท์ เก็บหลักฐานทุกอย่างพวกใบเสร็จที่เราซื้ออะไรเงี้ย แล้วก็รวมถึงรายรับ-รายจ่ายที่หนูทำทุกวันอย่างเงี้ยพวกบัญชี แล้วก็เป็นแบบช่วงสแกน “คนละครึ่ง” เราก็มีการจ่ายภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งเราทำมาต่อเนื่องทุกปีจนกระทั่งถึงตอนนี้ด้วย อันนี้แหละมันเป็นหลักฐานในการที่สำหรับเราไปทำธุรกรรมทางการเงินหรืออะไรทั้งหมดเลยค่ะ” ซึ่งมันจำเป็นมากแล้ พวก “ทะเบียนการค้า” มันต้องจดเอาไว้อย่างน้อย 2 ปี สำหรับธุรกิจส่วนบุคคล หรือพวกสเตทเม้นท์ต่าง ๆ ก็เหมือนกัน เพราะถ้าเราไม่ทำเผื่อเอาไว้วันไหนที่เราจำเป็นจะต้องใช้ มันลำบากเลยนะ! แล้วก็หลักฐานอะไรต่าง ๆ ที่แบบว่าทำให้เรา ให้เขารู้ว่า(ให้แบงก์รู้) ว่าเราค้าขายของจริง เราต้องเก็บทุกอย่างใช่ครับ สัญญาเช่าหรือว่าอะไรที่มันเป็นเอกสารเกี่ยวข้องในอาชีพของเรา ไม่ต้องกลัวอย่าไปกลัวเรื่องภาษี ถ้าเราทำถูกต้องไม่ต้องกลัวเลย



น้ำปั่นธนินธรสู่ร้าน “ปอกปั่น” สร้างอาชีพจากทุนหลักพันค่อย ๆ สะสมลูกค้าใช้ “คุณภาพ” สร้างความเชื่อใจ วัยรุ่นสร้างตัว เริ่มต้นสร้างครอบครัวเองด้วยอาชีพค้าขาย ที่ทั้งสองคนต่างมีskill อย่างดีในด้านนี้ที่ได้รับการบ่มเพาะมาจากทางครอบครัวด้วย รวมกับวิธีการคิดต่าง ๆ นานาที่ต้องบอกว่าคนคู่นี้เขาคิดได้อย่างดีเยี่ยมมาก ๆขอบคุณแรงบันดาลใจดี ๆ และไอเดียธุรกิจดี ๆ จากเจ้าของร้านปอกปั่นที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้ สามารถแวะไปอุดหนุนเพื่อลองชิมเมนูผลไม้ปั่นสดที่รับรองว่าดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นมาก ๆ เลยได้ที่ร้าน ตั้งอยู่ในตลาดของหมู่บ้านธนินธร ซอยวิภาวดีรังสิต 35 กรุงเทพฯ หรือโทร.092-265-3714

คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น