xs
xsm
sm
md
lg

ผ่าอาณาจักรพันล้าน “รีโว่เมด” ของ “ดร.วาสนา อินทะแสง” ที่ตกเป็นข่าวยืมเงิน “มดดำ” 62 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากข่าวที่เป็นกระแสมาหลายวัน เกี่ยวกับ กรณีที่มดดำ คชาภา พิธีกรชื่อดัง ได้ออกมาพูดถึงการยืมเงิน 62 ล้านบาท ของ CEO บริษัทชื่อดัง ผู้อยู่เบื้องหลังปั้นแบรนด์สินค้าความงาม และอาหารเสริมให้เหล่าเซเลบ และคนดัง ซึ่งปรากฏชื่อ เมย์ ดร.วาสนา อินทะแสง วันนี้พามารู้จัก กับธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้ ดร.เมย์ อย่างบริษัท รีโว่เมด กรุ๊ป จำกัด

บริษัท รีโว่เมด กรุ๊ป จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2558 พบรายชื่อ ดร.เมย์ วาสนา อินทะแสง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท และถือหุ้นจำนวน 188,000 หุ้น (94.00%) มูลค่าหุ้น 176,585,030 บาท ดำเนินธุรกิจการผลิตน้ำหอม เครื่องสำอาง และเครื่องประทินโฉม ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 20,000,000 บาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

•ปี 2564 รายได้ 605,502,821 บาท กำไร 22,505,567 บาท
•ปี 2565 รายได้ 718,500,503 บาท กำไร 56,767,873 บาท
•ปี 2566 รายได้ 885,261,916 บาท กำไร 76,588,288 บาท
ปี 2566 มีทรัพย์สินรวม 704,441,331 บาท หนี้สินรวม 516,584,916 บาท

บริษัทในเครือ รีโว่เมดกรุ๊ป จำกัด ประกอบด้วยบริษัท รีโว่เมด คอสเม่ จำกัด บริษัท เคเอ็มแอล168 จำกัด บริษัทเอ็มบี เคม จำกัด  ส่วนประเทศรีโว่เมด ตั้งสำนักงาน กัมพูชา พม่า นิวซีแลนด์ ไชน่า เวียดนาม ญี่ปุ่น 


ดร.ศิริพงษ์ สีใสไพร หรือคุณต้อม ผู้ก่อตั้ง บริษัท รีโว่เมด (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมกับ “ดร.วาสนา อินทะแสง” ผู้ตกเป็นข่าวในการยืมเงินมดดำ 62 ล้านบาท ได้เคยให้สัมภาษณ์ ว่า เดิมทำงานในด้านที่ปรึกษาการตลาดมาก่อน ส่วน คุณวาสนา อินทะแสง Managing Director อีกท่านหนึ่งก็เคยเป็นเซลส์ขายเครื่องมือแพทย์มาก่อน ซึ่งทั้ง 2 อาชีพเป็นอาชีพที่ต้องมีการพูดคุยกับลูกค้าอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมักจะพบเจอปัญหาของลูกค้ามากมาย โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการผลิตสินค้า และด้วยเหตุนี้จึงได้เริ่มแนวคิดที่อยากก่อตั้งพาร์ทโรงงานผลิตเพิ่มขึ้นมา เพื่อเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ให้ลูกค้า

เป็นที่มาของ บริษัท รีโว่เมด (ไทยแลนด์) จำกัด ก่อตั้งในปี พ.ศ.2558 เป็นบริษัทผู้รับผลิตและให้บริการครบวงจรด้าน OEM สำหรับผู้ที่อยากผลิตแบรนด์สินค้า ครีม เครื่องสำอาง สินค้าเพื่อสุขภาพ ความงาม และอาหารเสริมทุกรูปแบบ โดยรับผลิตได้ทั้งในและต่างประเทศ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี อเมริกา ให้บริการลูกค้าแบบ One Stop Service อย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นจนจบ และในตอนนี้มีโรงงานทั้งหมด 3 แห่ง และมีพนักงานกว่า 180 คน โดยมีแบรนด์ที่เคยผลิตมาแล้วกว่า 2,000 แบรนด์ และมีลูกค้าที่ดูแลอยู่ในขณะนี้กว่า 600 ราย ซึ่งกลุ่มลูกค้ามีความหลากหลาย แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่คนที่ไม่เคยทำแบรนด์มาก่อนแต่มีความต้องการสร้างแบรนด์ หรือคนที่เคยมีแบรนด์มาแล้วแต่ต้องการเปลี่ยนโรงงานการผลิต รวมไปถึงคนที่เคยเป็นตัวแทนขายที่ต้องการผันตัวมาเป็นเจ้าของแบรนด์เอง

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ลูกค้าที่มาจ้างบริษัทผลิต หรือ OEM น้อยลงไป ลูกค้ารายเดิมของบริษัทยอดขายลดลงไป ลูกค้าหลายรายเลิกผลิต ส่วนรายใหม่ก็เข้ามาน้อยลง สาเหตุสืบเนื่องมาจากการแข่งขันที่สูง และกำลังซื้อลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้ทางบริษัท รีโว่เมด โดยบอสใหญ่ “ดร.วาสานา อินทะแสง” ตัดสินใจทำตลาดในหลายแนวทางใหม่ เพื่อผลักดันให้กิจการสามารถดำเนินไปได้ ไม่ว่าการขยายการผลิต เตรียมหันมาจับตลาดด้านนวัตกรรมการแพทย์ โดยอาศัยประสบการณ์จากการที่ตัวเองเคยเป็นเซลส์ขายยา และเครื่องมือแพทย์มาก่อน

และเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 บริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อวิจัยพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตมีเซนไคมอลสเต็มเซลล์ตามมาตรฐาน GMP เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ขั้นสูง ณ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ขั้นสูง (ATMPs) โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณวิจัยพัฒนาจากแผนงานกลุ่มสุขภาพและการแพทย์ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) จำนวน 69.9 ล้านบาท และบริษัท รีโว่เมด ไทยแลนด์ จำกัด สนับสนุนงบประมาณจำนวน 17.6 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี โดยมีเป้าหมาย คือ การพัฒนาระบบการผลิต ระบบควบคุมคุณภาพ ระบบเอกสาร ระบบความปลอดภัย ระบบควบคุมความเสี่ยง ตามมาตรฐาน GMP-PIC/S


ดร.วาสนา อินทะแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีโว่เมด (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ ว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีเป้าหมายหลักต้องการปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารเสริมความงามด้วยนวัตกรรม โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านนวัตกรรมมาตลอด แต่พัฒนาด้านนวัตกรรมไม่สามารถใช้ระยะเวลาสั้นและทำได้ จะต้องใช้ระยะเวลา ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโปรเจกต์ใหญ่มากสำหรับรีโว่เมด ในการแยกออกมาเป็นเมดิคอล มีแผนที่จะรองรับการเข้ามาทำธุรกิจเมดิคอลอย่างเต็มตัว โดยการเปิดคลินิก และร้านยา ในปี 2567 แต่ไม่เห็นคลินิก หรือร้านยาอย่างที่ ดร.วาสนา วาดฝันไว้

ดร.วาสนา ยังบอกอีกว่า ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา บทบาทหน้าที่ของเรา คือ รับผลิตอาหารเสริม และผลิตภัณฑ์ด้านความงามให้ผู้ประกอบการ ต้องการจะทำแบรนด์ โดยไม่ได้มีสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเอง สินค้าที่ถนัดกลุ่มของอาหารเสริม และตลาดอาหารเสริมจากประเทศไทย ถือว่ามีศักยภาพเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ

ด้วยเหตุนี้แผนการตลาดของบริษัทปี 2566 การทำตลาดต่างประเทศ เริ่มที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา และพม่า โดยได้ใช้เงินไปกับจ้างพรีเซนเตอร์ชื่อดังในประเทศกัมพูชา และพม่า ตั้งเป้ายอดขายทั้ง 2 ประเทศไว้สูงถึง 500 ล้าน และเธอยังตั้งใจอย่างมากจะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของเธอเข้าไปขายยังประเทศอเมริกา และจีน รวมกลุ่มยูเออี โดยเธอบอกว่า ที่ประเทศอเมริกา อาหารเสริมมีแบบเดี่ยว ไม่มีแบบเม็ดรวมเหมือนของเรา ทำให้คนอเมริกาต้องกินอาหารเสริมถึง 10 เม็ด ในขณะที่กินอาหารเสริมของเธอเพียงแค่ เม็ดเดียว

ดร.วาสนา ให้สัมภาษณ์ ว่า ตนเองได้เลือกทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะการแข่งขันไม่สูงเหมือนในประเทศไทย และได้ใช้เงินเกือบ 100 ล้านบาท เพื่อเปิดสำนักงานที่ประเทศกัมพูชา และพม่า และได้มีการจ้างนักแสดงจากทั้งประเทศไทย และประเทศกัมพูชา มาเป็นพรีเซนเตอร์ โดยเลือกเบอร์หนึ่งในประเทศนั้น และเบอร์หนึ่งในประเทศไทยที่คนกัมพูชาชื่นชอบ โดยบอกว่าได้เลือก “ซิน ยูบิน” (Shin Yubin) และ “คุณนานซู” (Nansu Yati Soe) นัมเบอร์วันของพม่า มาเป็นพรีเซนเตอร์ เป็นเหตุผลที่ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อจ้างพรีเซนเตอร์


จนกระทั่งในปี 2567 ที่ผ่านมา “ดร.วาสนา” เธอมีความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างมากที่จะทำแบรนด์ของตัวเองให้ประสบความสำเร็จให้ได้ โดยชื่อแบรนด์ว่า BENOVA ซึ่งเธอบอกว่าเป็นการปฏิวัติวงการสินค้าสุขภาพ และอาหารเสริมด้วยมิติใหม่แห่งนวัตกรรม โดยตั้งใจว่าจะนำไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า และกัมพูชา และอีกหลายประเทศ อวดศักยภาพของสินค้าแบรนด์ไทย พร้อมกับออกมาเปิดเผยตัวเลขยอดขายในปี 2566 ว่า ประสบความสำเร็จทำรายได้ 1,000 ล้านบาท พร้อมกับบอกว่า สร้างสถิติสามารถผลิตสินค้าสุขภาพและความงามคุณภาพระดับโลกกว่า 10 ล้านชิ้นให้ลูกค้า

สำหรับในปี 2567 ที่ผ่านมา เปิดตัวด้วยไดเร็กชั่นใหม่ "SHAPING INNOVATION, SHAPING OF THE FUTURE" “เราคืออนาคตของธุรกิจคุณ” พร้อมตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ทั้งกลุ่มธุรกิจที่ 3,500 ล้านบาท! ด้วย กลยุทธ์ ความร่วมมือ “Collaboration” ได้แก่ 1) Strategic partnership and collaboration 2) Superstar Collaboration 3) Strategic Location Collaboration 4) World Innovative Collaboration

เฟสที่ 1 เปิดโปรเจกต์แรกของปี 2024 สุดยิ่งใหญ่ ขยายฐานสู่ประเทศพม่า ภายใต้ REVOMED Myanmar และ BENOVA Myanmar ก่อตั้งบริษัท เปิดโรงงาน ภายใต้แบรนด์ และสินค้านวัตกรรมใหม่ พร้อมกับการจัดงานเปิดตัวภายใต้ชื่อ The Powerful Stars: Grand Opening The first CEO of REJUVENUS Myanmar and LITE FIBER ณ Time City Yangon Myanmar โดยมีคนดังจากเมียนมา อาทิ Wyne Su Khaing Thein, Lu Hpring & Su Hlaing from Blush Group, Han thi, Dr.Khin Sabal, Myo Ko Kyaw และอีกมากมาย ตบเท้าร่วมงาน สร้างความฮือฮาอย่างมากสำหรับคนพม่า เมื่อ 2 คนดังชาวพม่า "NANSU YATI SOE" กับบทบาท “CEO OMO BRAND”

นอกจากนี้ยังจับมือ "May Myint Mo" ซูเปอร์สตาร์ชาวพม่า คนดังแห่งยุคที่ขอผันตัวจากนักแสดง ก้าวมาสู่ “THE FIRST CEO REJUVENUS MYANMAR by BENOVA” สร้างความฮือฮาให้ชาวพม่าไม่แพ้กัน เพราะเป็นการผันตัวจากศิลปินดารา มาทำธุรกิจอย่างจริงจัง เป็นการเสริมกลยุทธ์ “Superstar Collaboration” การร่วมมือกับคนดังในการทำธุรกิจเพื่อสร้างการรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว


กำลังโหลดความคิดเห็น