xs
xsm
sm
md
lg

ยกผำขึ้นบก! เลี้ยงในระบบปิดการจัดการง่าย 2 สัปดาห์เก็บเกี่ยวได้ เพิ่มมูลค่าสู่เมนูสุขภาพทางเลือกใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ถ้าเราอยากได้พื้นที่การตลาดมากขึ้น เราต้องสร้างความแตกต่าง ของเราเป็นระบบปิดที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ มาดูกระบวนการได้ทั้งหมด และสำคัญที่สุดเลยคือ ระยะเวลาในการเลี้ยงต้องได้ 2 สัปดาห์เท่านั้น ที่เป็นมาตรฐานของเรา”

ไข่ผำที่เลี้ยงแบบระบบปิดของไร่แสงสกุลรุ่ง
เป็นคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจเรื่อง Super Foods จากธรรมชาติอย่างจริงจัง หลังจากศึกษาข้อมูลเพื่อทำความรู้จักกับผำหรือ “ไข่ผำ”(Wolffia arrhizal (L.) Wimm.) เป็นอย่างดีแล้ว “น้องแสบ-นางสาวกมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์” แห่งไร่แสงสกุลรุ่ง จ.กาญจนบุรี และยังเป็นเจ้าของแบรนด์ “TEAM PHUM” ด้วย บอกกับเราว่า ความยากในช่วงแรกคือเริ่มจากการไม่รู้จักไข่ผำเลย ว่ามันคืออะไร? ก่อนแล้วจนกระทั่งได้เรียนรู้ผ่านทาง คนที่เข้ามาขอช้อน “ไข่ผำ” อยู่ในบ่อที่ไร่ เขาบอกว่าเอาไปกิน ซึ่งก็ทำให้ได้รู้จักว่า ไข่ผำกินได้! เพราะในขณะที่เดิมทีแถวบ้านไม่มีใครรู้จักหรือกินไข่ผำเป็นกันเลย แต่ว่าพอเริ่มเข้ามาขอบ่อยครั้งเข้าและจนกระทั่งไปพบว่า เขายังนำไข่ผำไปขายได้อีกด้วย! เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาสนใจเรื่องไข่ผำอย่างจริงจัง ลองผิดลองถูกด้วยการขายสดก่อน คือ ช้อนมาแล้วล้างทำความสะอาดก่อน นำมาวางขายให้กับผู้บริโภค ความยากต่อมาคือคนซื้อเริ่มถามเรื่องวิธีการกินว่า แล้วมันทำกินยังไงได้บ้าง? ทั้งโจทย์เรื่องของวิธีการกิน “ไข่ผำ”ว่ามันสามารถทำเป็นเมนูอะไรได้บ้างกอปรกับการต้องคำนึงถึงเรื่อง “ความสะอาด” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค จึงนำมาสู่ระบบการเลี้ยงแบบปิดที่สามารถควบคุม “คุณภาพ” ได้อีกด้วยเป็นโมเดลต้นแบบให้กับคนอื่น ๆ ที่สนใจเพาะเลี้ยงได้เองง่าย ๆ กลายเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการเพาะเลี้ยงไข่ผำเพื่อต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน


การเพาะเลี้ยง “ไข่ผำ” ในระบบปิด การจัดการทำอย่างไรบ้าง
เดิม “ไข่ผำ” เป็นที่รู้จักมานานในฐานะผักพื้นบ้านที่คนชนบทภาคเหนือ และอีสาน นิยมใช้เป็นอาหาร มีรสมัน(เพราะมีโปรตีนสูงถึงกว่า40% ของน้ำหนักแห้ง) นำไปประกอบอาหารกัน เช่น แกง ผัด หรือใส่เป็นส่วนประกอบของอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติให้มีความหอม มัน อร่อยมากยิ่งขึ้น ผำเป็นพืชน้ำ มีสีเขียว ลักษณะคือเป็นเม็ดกลมขนาดเล็ก คล้าย ๆ ไข่ปลา มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ0.1-0.2 มิลลิเมตร กระจายคลุมเหนือผิวน้ำเป็นแพ มักจะขึ้นอยู่ตามแหล่งน้ำที่เป็นน้ำนิ่ง เช่น บึง และหนองน้ำธรรมชาติทั่วไป จัดเป็นพืชดอกไม่มีรากและใบ จะมีมากในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่มีน้ำไหลเวียน เวลาเก็บไข่ผำต้องใช้สวิงช้อนขึ้นมา แล้วล้างให้สะอาดก่อนจะนำไปปรุงทำอาหาร

ผงผำ ที่สามารถนำไปต่อยอดทำเมนูต่าง ๆ ทั้งคาว หวาน และเครื่องดื่มได้
การเพาะเลี้ยง “ไข่ผำ” ในระบบปิดของไร่แสงสกุลรุ่ง โดยน้องแสบ-กมลวรรณ ได้เล่าถึงขั้นตอนให้ฟังว่า จะเป็นการนำไข่ผำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอยู่ในบริเวณของไร่แสงสกุลรุ่งเดิม เอาขึ้นมาทำการเลี้ยงในภาชนะซึ่งที่ไร่จะเน้นใช้อยู่เป็น “วงบ่อซีเมนต์”(แบบปิดก้นทึบ) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง1 เมตร เพื่อแทนการเลี้ยงและเก็บผลผลิตมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งไม่สามารถควบคุมเรื่องความสะอาดได้แน่นอน ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่พัฒนาร่วมกันกับหน่วยงานภาครัฐที่ได้เข้ามาให้การสนับสนุนรวมถึงเครือข่ายที่เป็นเกษตรกรด้วยกัน เพื่อทำให้การเลี้ยงไข่ผำมีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค โดยการเลี้ยงในระบบปิดแบบนี้คือจะอยู่ภายใต้โรงเรือน ที่มีแสงเพียงพอสำหรับพืช ใน1 บ่อจะใส่น้ำสะอาดที่ผ่านการกรองด้วยเครื่องกรองน้ำมาแล้ว หรือ มีการพักน้ำเอาไว้ก่อนไม่น้อยกว่า3 วันขึ้นไป ในกรณีของน้ำประปา/น้ำบาดาล ที่สามารถนำมาใช้เลี้ยงไข่ผำได้เช่นกัน ปริมาณน้ำที่ใส่ลงไปในบ่อเลี้ยงอยู่ที่ระดับ ครึ่งบ่อ(หรือราว 20ลิตร) จากนั้นจึงปล่อยพันธุ์ของ “ไข่ผำ” ลงทำการเพาะเลี้ยงต่อไป อัตราที่แนะนำ คือ ครึ่งกิโลกรัม/บ่อ โดยมีการบำรุงดูแลในเรื่องของอาหารระหว่างการเลี้ยงคือจะมีการให้ “น้ำหมักปลา”(เป็นสูตรที่พัฒนาขึ้นสำหรับการเลี้ยงไข่ผำเฉพาะ) จะใส่ไปพร้อมกับการเตรียมน้ำสำหรับการเลี้ยงเลย ในปริมาณ20-30 ซีซี/บ่อ/ครั้ง จากนั้นหมั่นคอยสังเกตดูภายในบ่อเลี้ยงซึ่งจะพบว่า ช่วงหน้าร้อน อาจมีปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตช้าอยู่บ้าง แต่ถ้าหน้าหนาวจะดีเป็นช่วงพีคของการให้ผลผลิตที่ดีกว่า หน้าฝนจะเจอปัญหาเรื่องเชื้อรา(จากความชื้น) แต่ว่าก็สามารถจัดการได้ง่าย ๆ หากมีการดูแลอยู่ตลอดอยู่แล้ว โดยในการเลี้ยงของที่ไร่ฯ ช่วงเวลากลางคืนจะมีการติดปั๊มออกซิเจน(ขนาดเล็ก) ช่วยเติมออกซิเจนในน้ำเข้าไปให้กับไข่ผำร่วมด้วย พอครบ1 สัปดาห์ก็จะมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำให้ใหม่พร้อมกับเติมน้ำหมักปลา(ในปริมาณเท่าเดิม) ลงไปให้ด้วย ดูแลต่อเนื่องไปจนกระทั่งเลี้ยงครบ2 สัปดาห์แล้ว ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยใน1 บ่อจะเก็บไข่ผำได้ประมาณ 2-3 กก./ครั้ง


“จริง ๆ การเลี้ยง 1 สัปดาห์ก็ใช้ได้ค่ะ แต่เพราะว่าเราลองเลี้ยงนานขึ้นเป็น 2 สัปดาห์ เราไปตรวจ Lab เพื่อจะวิเคราะห์ดูว่าคุณค่าทางโภชนาการเป็นอย่างไร ปรากฏว่าค่าที่ได้ออกมาต่าง ๆ ของเรามันสูงกว่า อย่างมีนัยสำคัญ เราก็เลยใช้ 2 สัปดาห์ที่เป็นมาตรฐานของระบบฟาร์มเราที่ใช้ในการการันตี “คุณภาพ” ของไข่ผำที่เราเลี้ยงได้ด้วย”

โจ๊กไข่ผำ ผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรม เพื่อสุขภาพ
ต่อยอดสู่เมนูสุขภาพและ “ซิกเนเจอร์” เพื่อสร้างจุดขายได้
การเปิดตัวเมนูที่สร้างการรู้จัก “ไข่ผำ” ของที่ไร่ฯ ซึ่งเลี้ยงอยู่เลยก็คือว่า เป็นเมนูขนมจีนน้ำยาไข่ผำก่อน เป็นน้ำยากะทิปกติที่มีการเติม “ไข่ผำ” ลงไปด้วยเพื่อช่วยเพิ่มเรื่องรสชาติและก็สีสัน(สีเขียวๆ) ที่ใส่เข้าไป ปรากฏว่าจากที่ได้มีโอกาสแนะนำเมนูนี้ผ่านทางสื่อที่มีชื่อเสียงรายการหนึ่งด้วย ทำให้เกิดการรู้จักอย่างเป็นวงกว้างเพิ่มขึ้นมาทันทีและมีแฟน/คนดูรายการเป็นจำนวนมากจากทุกสารทิศที่ติดต่อเข้ามา เพื่ออยากจะลองชิมเมนูนี้จากไข่ผำ แต่ทว่าด้วยข้อจำกัดเรื่อง “การจัดส่ง” อายุในการเก็บสั้นที่ไม่สามารถทำได้ในขณะนั้น ก็เลยกลายมาเป็นจุดเริ่มของการพัฒนาต่อไปในเรื่องผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อจะแก้ปัญหาเรื่อง Shelf life จนเกิดเป็น ข้าวเกรียบผำ และยังรู้มาอีกว่าไข่ผำไม่ได้มีแค่เรื่องโภชนาการทางอาหารอย่างเดียว ยังมีประโยชน์ทางด้านเวชสำอาง ซึ่งเป็นที่มาของสารสกัดสำหรับการทำผลิตภัณฑ์ “สบู่” ด้วยคราวนี้ได้ครบเลย ทั้งเรื่องของกิน&ของใช้ แต่ว่าการพัฒนาก็ยังหยุดไม่ได้เพราะว่าเรื่องความแตกต่างระหว่าง “เจน” หรือช่วงอายุของคนกินก็มีผลต่อความนิยมหรือเลือกซื้อสินค้าด้วย จึงต้องมี ทองม้วน ขนมปังกระเทียม และไอศกรีม เพื่อตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ และนอกจากนี้ยังมีการต่อยอดสู่เมนู “เครื่องดื่ม” ด้วย สืบเนื่องมาจากตนเองเป็นศิษย์เก่าของสถาบันปัญญาภิวัฒน์และเคยมีการทำวิจัยเรื่องไข่ผำร่วมกันด้วยในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งนำมาสู่การพัฒนาต่อยอดจาก “ผงผำ” มาอยู่ในเมนูเครื่องดื่มที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ของร้านกาแฟมวลชน(ที่มีเฉพาะสาขาไร่แสงสกุลรุ่งเท่านั้น) สำหรับ “มัทฉะลาเต้” ที่ใช้ผงผำเข้าไปแทนชาเขียวมัทฉะได้อย่างลงตัว ทั้งเรื่องของสีสันและก็รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สร้างการ recommend ชี้ชวนให้คนกินมาลองลิ้มชิมรสชาติของเมนูนี้ให้ได้!

มัทฉะลาเต้จาก ผงผำ เมนูแนะนำจากร้านกาแฟมวลชนสาขาไร่แสงสกุลรุ่ง
และไม่เพียงเท่านั้นการต่อยอดผงผำไปสู่ผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมหรือ innovation ซึ่งก็คือ “โจ๊กไข่ผำ” ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกอีกด้วย เป็นการรวมที่สุดของไม่ว่าจะเป็น “ข้าวหอมมะลิ” ซึ่งข้าวที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยที่ทั่วโลกรู้จัก และคุณค่าโภชนาการสูงของไข่ผำที่มารวมอยู่ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์เรื่องความสะดวก(เพียงฉีกซองและเติมน้ำร้อน) อีกทั้งยังไม่มีการปรุงแต่งรสชาติใด ๆ เข้าไปโดยเน้นรสธรรมชาติเป็นหลัก จึงเหมาะกับผู้บริโภคกลุ่มที่เป็นคนรักสุขภาพ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้ป่วยที่สามารถเพิ่มโปรตีนให้กับร่างกายได้ง่าย ๆ เพื่อช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูสุขภาพ ให้กลับมาแข็งแรง(จากการกินได้) เพิ่มขึ้นมาได้ ทั้งนี้ไม่พบการก่อผลข้างเคียงสำหรับคนที่มีอาการจากการทานโปรตีนในรูปของไข่ขาว (กรณีของผู้ป่วย) ที่มากเกินไป ซึ่งสามารถที่จะเลือกทานโจ๊กไข่ผำเพื่อทดแทนได้ มีการทดลองใช้และได้ผลตอบรับจากกลุ่มตัวอย่างในเชิงเป็นที่น่าพอใจ

จากการได้มีโอกาสร่วมงานกับหลาย ๆ ภาคส่วนทั้ง ภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะหน่วยงานหลักอย่าง กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งได้ให้ความสนใจและเข้ามาช่วยเรื่องการพัฒนาต่อยอด “ไข่ผำ” พร้อมการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง น้องแสบ-กมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์ ยังบอกด้วยว่าตนเองมีความฝัน ที่อยากจะให้ “ไข่ผำ” จากประเทศไทยกลายเป็นอีกหนึ่งสินค้าส่งออกที่สำคัญ และสร้างการรู้จักให้กับทั่วโลกได้รับรู้ว่าแหล่งผลิตไข่ผำที่ดีที่สุดคืออยู่ที่ประเทศไทย เป็นแหล่งของโปรตีนทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์ “เทรนด์อาหารแห่งอนาคต” เรื่องของ Super Foods จากธรรมชาติ ที่ดีที่สุด ที่สามารถหาได้อย่างไม่มีสิ้นสุดจากประเทศไทยต่อไป

ร่วมเสวนาในงานส่องเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ไข่ผำ-จิ้งหรีด ซูเปอร์ฟู้ดจากธรรมชาติ ประโยชน์มากกว่าที่คิด จัดโดยกรมประมง ร่วมกับนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน
และสำหรับคนทั่วไปที่สนใจ “การเพาะเลี้ยงไข่ผำ” เพื่อการใช้ประโยชน์ในครัวเรือนได้เอง หรือต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างเป็นอาชีพเสริมได้ ก็สามารถมาดูวิธีการเพื่อเป็นตัวอย่างได้ที่ “ไร่แสงสกุลรุ่ง” ตั้งอยู่ที่111 หมู่7 ต.กลอนโด อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี หรือโทร.091-753-6491แต่ทว่าไม่แนะนำสำหรับคนทั่วไปที่คิดว่าอยากจะทำเป็นอาชีพหลักไปเลย เพราะหากไม่มีการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ อย่างรอบคอบก่อนมาทำมีโอกาสที่จะล้มเหลวได้ไม่ยากเช่นกัน ซึ่งน่าจะเหมาะกับสเกลการผลิตในระดับของอุตสาหกรรมที่สามารถรองรับการเติบโตเชิงธุรกิจในด้านต่าง ๆ ที่ตามมามากกว่า เพราะว่าเห็นจากหลาย ๆ คนที่มีความพยายามทำแล้วและยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จอย่างที่คิดเอาไว้ ดังนั้นการมองถึงเรื่องความเป็นไปได้จึงนับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ประกอบการรายย่อยต้องทำความเข้าใจ และพยายามตอบโจทย์ของตัวเองให้ได้ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตามมาในที่สุด

คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น