เมื่อมาตรการ CBAM จะถูกนำมาใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ หลายอุตสาหกรรมต้องหันมาให้ความสำคัญในเรื่องนี้ “อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ – เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย” ผู้นำด้านการจัด Exhibition เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จับมือจัดงาน 3 ซีรีส์ ของงานพลาสติกแอนด์รับเบอร์ ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป เริ่มจากประเทศไทย “พลาสติกแอนด์รับเบอร์ ไทยแลนด์ 2024 (Plastic & Rubber Thailand 2024)” ในวันที่ 15 - 18 พฤษภาคม 2567 ณ ไบเทค กรุงเทพฯ พร้อมนำนวัตกรรมและองค์ความรู้ต่างๆ มาถ่ายทอดเพื่อให้ผู้ประกอบการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านการลดมลพิษจากกระบวนการผลิตตามแนวคิดแห่งความยั่งยืน คาดผู้ชมงาน 4 วัน 47,000 ราย
นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการ สถาบันพลาสติก กล่าวว่า พลาสติกมีการใช้ทั่วโลกโดยปีนี้มีการผลิตเม็ดพลาสติกใหม่ 400 ล้านตันหรือเติบโต 2.5% จากปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยมีการส่งออกเม็ดพลาสติก 1.38 ล้านล้านบาท หรือ 6.74% ของ GDP ของประเทศ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยประเทศไทยเองมีการใช้พลาสติกสำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ 41% ซึ่งเติบโตมากในช่วงโควิด – 19 รองลงมาใช้ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ก่อสร้าง ยานยนต์ และที่มีการใช้ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น คือ อุตสาหกรรมการแพทย์ โดยผู้ประกอบการพลาสติกไทยมี 3,000 กว่าราย 88% เป็น SMEs ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางกับภาคตะวันออก ผู้ประกอบการ 2,500 – 2,600 รายเป็นผู้ประกอบการพลาสติกแปรรูปด้านอุตสาหกรรมยางในไทย ประกอบด้วยยางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์ ซึ่งลูกค้ารายใหญ่ของไทย คือ จีน อเมริกา เป็นต้น ยางได้ถูกนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น ยางรถยนต์ ถุงมือยางและท่อยางสำหรับผลิตภัณฑ์ยางในประเทศไทยมีมูลค่ารวมถึง 4,674 กิโลตัน จะเห็นได้ว่าทั้งพลาสติกและยาง มีปริมาณความต้องการใช้ที่สูงขึ้นและมีแนวโน้มนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญมาก
สำหรับมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เป็นมาตรการสำคัญของ European Green Deal ที่จะนำมาปรับใช้และส่งผลต่อการส่งออกสินค้าไทยไปสู่ยุโรปจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยเลี่ยงไม่ได้ การประกาศใช้มาตรการ CBAM ในวันที่ 1 ต.ค. 2566 แม้จะครอบคลุมสินค้าใน 5 กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอนสูง ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอลูมิเนียม โดยจะมีการเก็บเงินจากผู้ผลิตที่สร้างคาร์บอน 80 ยูโรต่อหนึ่งตันคาร์บอน และในอนาคตเชื่อว่ากลุ่มพลาสติกและยางจะถูกใช้มาตรการ CBAM ด้วยเช่นกัน
ด้านศิริภัทร โกเอี้ยน ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มงานบริหารบุคคลและความยั่งยืนองค์กร บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การใช้เม็ดพลาสติกในการผลิตถุงถือว่ามีตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมูลค่าตลาดพลาสติกสำหรับผลิตถุงมีมูลค่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
“ทุกวันนี้คนยังเข้าใจว่าพลาสติกเป็นผู้ร้ายทำลายสิ่งแวดล้อม จากที่เราเป็นผู้ผลิตมา 50 ปี พบว่าไม่มีอะไรมาทดแทนพลาสติกได้ ทั้งด้านความทน ความร้อน ทนกรด ทนน้ำ ฯลฯ กระดาษก็ทดแทนไม่ได้ นอกจากนี้ กระบวนการผลิตพลาสติกยังทำให้เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่น้อยกว่าถุงกระดาษถึง 17 เท่า ซึ่งบริษัทมีการส่งสินค้าไปยังยุโรป 70% ก็ต้องเตรียมพร้อมรองรับมาตรการ CBAM เช่นกัน” ศิริภัทร กล่าวทิ้งท้าย
จากการมองเห็นความสำคัญของมาตรการ CBAM “เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย” และ “อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” ได้ผนึกกำลังเสริมความพร้อมแก่นักอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงการผลิตแห่งความยั่งยืน ผ่านการจัดงาน “พลาสติกแอนด์รับเบอร์ ไทยแลนด์ 2024 (Plastic & Rubber Thailand 2024)” ซึ่งจะจัดในวันที่ 15 ถึง 18 พฤษภาคม 2567 ณ ไบเทค กรุงเทพฯ
เพตรา คัลแมน กรรมการบริหาร เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ ได้เผยถึงความร่วมมือกับอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการต่อยอดพันธมิตรทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมายาวนานในภูมิภาคพร้อมยกระดับประสบการณ์ใหม่แก่ลูกค้า โอกาสและการเติบโตทางธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออุตสาหกรรมต้องเผชิญกับเป้าหมายความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียนของอุตสาหกรรมด้วยความเชี่ยวชาญเชิงลึกในภูมิภาคและเครือข่ายของอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผสานด้วยความเชี่ยวชาญด้านภาคอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติกและยางระดับโลกของ เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ จะช่วยให้งาน Plastic & Rubber Thailand 2024 เป็นที่รู้จักในภูมิภาค
“สถานการณ์โควิด – 19 ทำให้เราหยุดจัดงาน การกลับมาครั้งนี้เราได้จัดใน 3 ประเทศ คือ ไทย (งานพลาสติกแอนด์รับเบอร์ ไทยแลนด์) อินโดนีเซีย (งานพลาสติกแอนด์รับเบอร์อินโดนีเซีย) และเวียดนาม (พลาสติกแอนด์รับเบอร์เวียดนาม) เพื่อสร้างประสบการณ์ทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น”
ด้านสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า Plastic & Rubber Thailand 2024 เป็นการส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้แก่นักอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ ตั้งแต่ขนาดใหญ่จนถึงขนาดย่อม ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีในการผลิตพลาสติกและยางได้อย่างครบครัน ตลอดจนสามารถนำองค์ความรู้และนวัตกรรม รับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านการลดมลพิษจากกระบวนการผลิตตามแนวคิดแห่งความยั่งยืน
“ประเทศไทยนับเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกและยางในตลาดสำคัญ ๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดียและภูมิภาคอาเซียน ขณะที่อินโดนีเซียและเวียดนามเป็นผู้เล่นที่สำคัญในภาคส่วนนี้เช่นเดียวกัน”
ภายในงาน Plastic & Rubber Thailand 2024 จะมีนวัตกรรมจากทางยุโรปมาจัดแสดง อาทิ การขึ้นรูป วัตถุดิบและเคมีภัณฑ์ การเตรียมผิวชิ้นงาน ระบบอัตโนมัติ อีกทั้งยังเป็นเวทีจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดเครือข่ายอุตสาหกรรม อาทิ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ทางการแพทย์ สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุอาคารและก่อสร้าง เทคโนโลยีพลังงานสะอาด นอกจากนี้ จะมี Speaker มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางต่างๆ
อย่างไรก็ตามงาน Plastic & Rubber Thailand 2024 จะจัดร่วมกับงานอินเตอร์แมค (งานแสดงเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพื่อการผลิต) และงานซับคอน ไทยแลนด์ ทำให้เชื่อมั่นว่างานดังกล่าวจะเป็นแหล่งรวมนักอุตสาหกรรมกว่า 47,000 ราย จากหลากหลายอุตสาหกรรมไว้ในงานเดียว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *