xs
xsm
sm
md
lg

อว.เผยความก้าวหน้าของการวิจัยวัคซีนโควิด-19 โดยทีมนักวิจัยไทย พร้อมทดลองในมนุษย์ทั้ง DNA และ mRNA

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รายงานจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจของโลกและประเทศเป็นอย่างมาก วัคซีนที่ได้รับการอนุญาตและมีการฉีดให้แก่ประชาชนต้องเป็นวัคซีนที่ผ่านการทดสอบในสัตว์ทดลองและมนุษย์จนมีความปลอดภัยสูงที่สุด และส่งผลข้างเคียงน้อยที่สุด ซึ่งปัจจุบันคนไทยให้ความสนใจและฝากความหวังไว้กับการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพของนักวิจัยไทยเป็นอย่างมาก  


โดยทีมแพทย์และนักวิจัยไทยเผยถึงวัคซีนโควิด-19 จำนวน 4 ชนิด เริ่มนำมาทดสอบในคนระยะแรกแล้ว ประกอบด้วย 

วัคซีน ChulaCov19 ซึ่งเป็นการพัฒนาวัคซีน mRNA ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ผลิตโดยสร้างชิ้นส่วนขนาดจิ๋วจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา (โดยไม่มีการใช้ตัวเชื้อแต่อย่างใด) ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมขนาดจิ๋วนี้เข้าไปจะทำการสร้างเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (spike protein) และกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้กับไวรัสเมื่อไปสัมผัสเชื้อ 

เมื่อวัคซีน mRNA ทำหน้าที่ให้ร่างกายสร้างโปรตีนเรียบร้อยแล้ว ภายในไม่กี่วัน mRNA นี้จะถูกสลายไปโดยไม่มีการสะสมในร่างกายแต่อย่างใด ภายหลังประสบความสำเร็จจากการทดลองในลิงและหนู พบว่าช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดและสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง จึงได้ผลิตและทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1 ให้กับอาสาสมัครคนไทย เพื่อหาปริมาณวัคซีน ChulaCov 19 ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และกำลังเข้าสู่การทดสอบระยะที่ 2 ในเดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 

สำหรับวัคซีน mRNA ของจุฬาฯ สามารถเก็บในอุณหภูมิตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียสได้นาน 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง 25 องศาเซลเซียสได้นาน 2 สัปดาห์ อีกทั้งวัคซีนชนิด mRNA สามารถผลิตได้เร็ว ไม่ต้องรอเพาะเลี้ยงเชื้อ สังเคราะห์ในหลอดทดลองไม่เกิน 4 สัปดาห์ ไม่ต้องใช้โรงงานขนาดใหญ่ และสามารถปรับแต่งวัคซีนต้นแบบตามพันธุกรรมของเชื้อกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัท Bionet Bionet Asia เพื่อผลิตได้ทันที


ทั้งนี้ จากการทดลองวัคซีน ChulaCov19 ในหนูทดลองที่ได้รับเชื้อโควิด พบว่าเมื่อหนูได้รับวัคซีน ChulaCov19 ครบสองเข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ และรับเชื้อโคโรนาไวรัสเข้าทางจมูก สามารถป้องกันหนูไม่ให้ป่วยเป็นโรคและยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดได้ รวมทั้งสามารถลดจำนวนเชื้อในจมูกและในปอดลงไปอย่างน้อย 10,000,000 เท่า ส่วนหนูที่ไม่ได้รับวัคซีนจะเกิดอาการแบบโควิด-19 ภายใน 3-5 วัน และทุกตัวมีเชื้อสูงในกระแสเลือดในจมูกและปอด โดยการวิจัยและพัฒนาวัคซีนนี้ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทุนศตวรรษที่สอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเงินบริจาคจากสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯ กองทุนบริจาควิจัยวัคซีน สภากาชาดไทย


ด้าน วัคซีนใบยา โดยการพัฒนาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างนวัตกรรมการใช้เซลล์ใบยาสูบในกระบวนการสร้างวัคซีน ชี้ให้เห็นว่า จากการทดลองวัคซีนในหนูสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีมาก และมีความปลอดภัย จึงวางแผนการพัฒนาวัคซีนเป็น 2 Generation คือ การขยายผลทดลองในมนุษย์ในระยะที่ 1 ในเดือนกันยายน 2564 เพื่อหาขนาดของวัคซีนที่เหมาะสมในการกระตุ้นภูมิ รวมถึงมีความปลอดภัย เพื่อนำข้อมูลไปใช้กับวัคซีน Generation ที่สองคือ การปรับสูตรให้สามารถครอบคลุมสายพันธุ์ต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น โดยได้เตรียมทดสอบในมนุษย์ ระยะที่ 1 และ 2 ในเดือนธันวาคม 2564 ต่อไป

เช่นเดียวกับองค์การเภสัชกรรม และมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้พัฒนาวัคซีน DNV-HXP-S ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายโดยเทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก ที่ผลวิจัยพบว่ามีความปลอดภัยและกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีในสัตว์ทดลอง ถือเป็นวัคซีนตัวแรกที่ได้เริ่มการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ขณะนี้ได้ทดสอบในระยะที่ 2 เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา คาดว่าปลายปีนี้จะได้ทราบผล และจะทดสอบในระยะที่ 3 ต่อไป โดยการพัฒนาในครั้งนี้ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จึงไม่ต้องลงทุนสร้างโรงงานใหม่ และได้รับความร่วมมือในระดับนานาชาติจากองค์กร PATH และผู้ผลิตทั้งเวียดนามและบราซิล จึงมีความปลอดภัยสูง


ด้านภาคเอกชน บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ผู้สร้างนวัตกรรมวัคซีนโควิด-19 ชนิดดีเอ็นเอ เผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ภายในเดือนตุลาคม 2564 นี้ และคาดว่าจะเริ่มทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 2 และ 3 ภายในปี 2564 ในขณะเดียวกันได้มีการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ที่ประเทศออสเตรเลียแล้วกับอาสาสมัคร 150 คนแบบขนานกันไป บริษัทฯ ยืนยันว่ามีความพร้อมในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ทั้งชนิดดีเอ็นเอและเอ็มอาร์เอ็นเอ หากเป็นวัคซีนชนิดดีเอ็นเอที่บริษัทศึกษาวิจัยเอง จะสามารถผลิตได้ในระดับอุตสาหกรรมได้เร็ว

จากความก้าวหน้าการวิจัยวัคซีนดังกล่าว ได้ดำเนินการวิจัยโดยหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อช่วยลดปัญหาทางด้านสาธารณสุขของประเทศได้อย่างทันท่วงที โดยเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ และสามารถสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศไทยได้ในระดับสากล เนื่องจากการวิจัยและพัฒนามีความก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง




กำลังโหลดความคิดเห็น