โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ จับมือ อย., กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล พัฒนา “ฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” ชี้พร้อมเปิดให้ทดลองใช้ปลายปี 2564 ด้วยข้อมูลพืชสมุนไพรไม่ต่ำกว่า 50 ชนิด ตั้งเป้าเพิ่มข้อมูลสมุนไพรเป็น 1,000 ชนิดใน 5 ปี หวังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ พัฒนาเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวในการเปิดงานพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือ “โครงการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” ว่า สวทช.ได้ทำการวิจัย คิดค้นพืชสมุนไพรมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้น โดยใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งเป็นโปรแกรมวิจัยที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่พัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดแบบ Green extraction โดยแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับสมุนไพรสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใช้ภายนอก ประเทศไทยมีเพียง 1 ฐานข้อมูล คือ ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยที่ใช้ทางเครื่องสําอาง (Thai Medicinal Plants for Cosmetics Database; TMPCD) ของกลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง สำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
สวทช. โดยโปรแกรมเวชสำอาง และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, กองควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย และกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สถาบันวิจัยสมุนไพร และสำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงตกลงร่วมกันในการสนับสนุนและผลักดันการจัดทำฐานข้อมูลกลางสำหรับผู้ประกอบการด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย Super Manager โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. กล่าวว่า โครงการดังกล่าวตรงกับความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ ทั้งในส่วนข้อมูลและรูปแบบการใช้งาน มีการคัดเลือกและกำหนดพืชสมุนไพรเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงในการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
“สำหรับโครงการในระยะที่ 1 นี้มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 2564-2568) โดยปี 2564 จะเป็นการเริ่มต้นสร้างฐานข้อมูลพืชสมุนไพรเป้าหมายจำนวนไม่น้อยกว่า 50 ชนิด ที่พร้อมให้บริการ และจะเพิ่มจำนวนขึ้นในปีถัดไป โดยตัวอย่างพืชสมุนไพรที่มีอยู่ในฐานข้อมูล ได้แก่ กระชายดำ ไพล ขมิ้นชัน บัวบก เป็นต้น โดยพืชทั้ง 4 ชนิด ซึ่งได้มีการกำหนดเป็น Product Champions ของประเทศ” ดร.อุรชากล่าว พร้อมเผยว่า เราตั้งเป้ามีข้อมูลพืชสมุนไพรไม่น้อยกว่า 1,000 ชนิดภายในปี 2568 หรือเมื่อสิ้นสุดโครงการในระยะที่ 1
ฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ในระยะแรก (เฟสที่ 1 : 2564-2568) จะเป็นข้อมูลทั่วไปที่รวบรวมข้อมูลที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ เช่น ชื่อพืช การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ส่วนที่ใช้ สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นบ้านตามภูมิปัญญาไทย การสกัด แยกและตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารสำคัญ การวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ สารสำคัญในสมุนไพร ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพร การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย ข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง อาการไม่พึงประสงค์ ผลงานวิจัย และเอกสารอ้างอิง ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อบังคับ/กฎหมายที่กำกับดูแลของสมุนไพรที่มีศักยภาพด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยอย่างน้อย 50 ชนิด
ในระยะต่อไป จะเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญของสมุนไพรในด้านข้อมูลลำดับนิวคลีโอไทด์ (Whole-genomesequence) ความหลากหลายทางพันธุกรรม ชนิด สายพันธุ์ พันธุ์ดีเด่น พร้อมข้อมูลการนำไปใช้ประโยชน์ทางการผลิต และการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพร เช่น ลักษณะการเกษตร การเจริญเติบโต ผลผลิต สารพฤกษเคมี (Phytochemical profile) และผลการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioassay) รวมทั้งข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างกลไกของสาระสำคัญจากสมุนไพรที่มีต่อเซลล์และร่างกาย
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา อย.ได้จัดทำฐานข้อมูลสมุนไพรไทยที่ใช้ทางเครื่องสําอาง หรือ THAI MEDICINAL PLANTS FOR COSMETICS DATABASE ประกอบไปด้วยสมุนไพร 340 ชนิด ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเอกลักษณ์ต่างๆ ของสมุนไพร ส่วนที่ใช้และการนำไปใช้ทางเครื่องสำอางที่ผู้ประกอบการหรือผู้สนใจสามารถสืบค้นข้อมูลของสมุนไพรแต่ละตัวได้ โดยอาจต่อยอดพัฒนาเป็นเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ภายนอกเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย
นายแพทย์ พิเชฐ บัญญัติ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีความยินดีที่จะร่วมพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก เพื่อความสะดวกและเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลที่สำคัญของสมุนไพร โดยเป็นข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชนที่สนใจ อันจะส่งผลให้เกิดการผลักดันการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสมุนไพรเพื่อเพิ่มมูลค่าของสมุนไพร เป็นการเพิ่มโอกาสให้สมุนไพรไทยสามารถเข้าแข่งขันในเวทีการค้าระดับโลกได้
รองศาสตราจารย์ ภก.สุรกิจ นาฑีสุวรรณ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการขยายฐานข้อมูลครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่มีโอกาสส่งผลให้เกิดการเพิ่มมูลค่าของสมุนไพรไทย และนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้แก่ประเทศไทยตามแนวทางที่รัฐบาลตั้งเป็นจุดมุ่งหนึ่งของการพัฒนาประเทศ สมุนไพรไทยจำนวนมากมีฤทธิ์ที่สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางได้อย่างหลากหลายสรรพคุณ ไม่แพ้สมุนไพรจากแหล่งอื่นๆ ของโลก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลมีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในภารกิจที่สำคัญครั้งนี้ และให้ความสำคัญต่อการผลักดันโครงการนี้ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวงการสมุนไพรและเครื่องสำอางของไทยเป็นอย่างดี
“เป้าหมายสำคัญของความร่วมมือจาก 4 หน่วยงานที่แข็งแกร่งนี้ คือ การปูทางให้เกิดการนำสมุนไพรไทยไปใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพและมาตรฐาน ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยภาคเอกชนสามารถนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ สร้างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยที่ดี มีมูลค่าสูง สามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน” ดร.วรรณีกล่าวทิ้งท้าย
* *คลิกLikeเพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า"SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด
และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
SMEs manager