ไอเดียไม่ธรรมดาสำหรับ “น้ำนมข้าวยาคู” แบรนด์ Dimond fresh ที่คิดค้นจากงานวิจัยจนได้ข้าวระยะรวงอ่อนมาผลิตเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพในขณะนี้และกลุ่มคนที่แพ้นมถั่วเหลืองและนมวัว พร้อมทั้งช่วยเหลือเกษตรกรไทยจากการประกันข้าวในราคาที่สูงเพื่อกระจายรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยในเครือ นอกจากนี้น้ำนมข้าวยาคูยังได้รับมาตรออร์แกนิกสากลอีกด้วย
อมลวรรณ ศรีวิทิตกุล ผู้จัดการ บริษัท ไดมอนด์เฟรช โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด เล่าถึงจุดเริ่มต้นผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวยาคูว่า เดิมทีไดมอนด์ เฟรชทำธุรกิจเกี่ยวกับข้าวสารมีทั้งขายส่งและขายปลีก มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ในช่วงแรกทำเป็นข้าวสารธรรมดาแต่ในภายหลังตลาดข้าวเกิดการผันผวนอย่ามากทำให้ราคาข้าวมีราคาขึ้นลงตลอด หลังจากนั้นจึงมีความคิดที่ว่าจะทำให้ข้าวนั้นมีมูลค่าขึ้นมา ดังนั้นจึงตัดสินใจศึกษาค้นคว้างานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับข้าวและมีสิ่งหนึ่งที่ต้องการจะทำคือการทำให้เกิดการเลียนแบบได้ยากทำให้เจองานวิจัยที่เกี่ยวกับข้าวระยะรวงอ่อนซึ่งเป็นช่วงที่มีสารไบโอ แอคทีฟ เปปไทด์สูงที่สุดและมีสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีส่วนช่วยในเรื่องการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ตัวข้าวที่นำมาทำผลิตภัณฑ์จะเป็นคาโบไฮเดรตที่ยังไม่ใช่แป้ง ซึ่งหมายถึงว่ากลุ่มคนที่อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก ลดแป้ง สามารถกินได้ แคลลอรี่ไม่สูง
ทั้งนี้ทางแบรนด์ยังมีฟาร์มเกษตรต่างๆ ที่เป็นออร์แกนิกทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวยาคูออร์แกนิกที่แตกต่างจากท้องตลาดทั่วไปและยากที่จะลอกเลียนแบบ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวยาคูที่นอกจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระแล้วยังมีไฟเบอร์ที่ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ระบบความดันโลหิต รวมถึงบำรุงสมองอีกด้วย นอกจากนี้ทางแบรนด์ยังได้มีการสื่อสารกับเกษตรกรไทยที่ขายข้าว โดยส่วนมากเมื่อราคาข้าวมีการผันผวนรายได้เกษตรกรเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่สำหรับทางแบรนด์ที่ซื้อข้าวจากเกษตรกรในกลุ่มเครือข่ายสามารถรับประกันราคาให้ได้ถ้าเกษตรกรขายข้าวระยะน้ำนมให้แก่แบรนด์ได้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกข้าวออร์แกนิกและเป็นกำลังใจในการทำการเกษตร
นอกจากนี้ทางแบรนด์ทำธุรกิจขายข้าวมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อประมาณ 30 ปีและเริ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวยาคูได้ประมาณ 3 ปี โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่กลางปี 2560 ใช้เวลาในการทำงานวิจัยประมาณ 1-2 ปีกว่าจะเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้น้ำนมข้าวยาคูในตอนนี้ยังไม่สามารถทำเป็นแบบพาสเจอร์ไรท์ได้เพราะยังคงมีเชลไลท์ค่อนข้างน้อย ซึ่งพาสเจอร์ไรท์จะมีระยะเวลาอยู่ได้นานประมาณ 15 วัน ซึ่งน้ำนมข้าวยาคูในตอนนี้ยังไม่ได้รับความสนใจมากนักเพราะยังคงเป็นเรื่องใหม่แต่ทางแบรนด์ก็ได้มีการเสริมความรู้และแนะนำข้อมูลให้ลูกค้าทราบว่าผลิตภัณฑ์น้ำนมข้างยาคูแตกต่างอย่างไร โดยมีการโปรโมทผ่านหลายช่องทางที่มีทั้งออนไลน์และวางขายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เช่น ฟู้ดส์แลนด์ หรือ เลม่อนฟาร์ม
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวยาคูคือการนำเอาข้าวระยะรวงอ่อนมาผลิตซึ่งข้าวระยะดังกล่าวจะยากตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวเนื่องจากข้าวระยะรวงอ่อนนั้นจะมีน้ำหนักเบา ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้เหมือนข้าวปกติซึ่งทางแบรนด์ได้มีการใช้วิธีเก็บเกี่ยวข้าวรูปแบบพิเศษและยังมีอีกหลากหลายขั้นตอน เช่น เครื่องคั้นไม่สามารถใช้เครื่องคั้นธรรมดาได้จะต้องปรับแต่งให้เข้ากับข้าวที่เรานำมาผลิต กล่าวคือทุกขั้นตอนตั้งแต่เก็บเกี่ยวจนถึงการผลิตจะแตกต่างจากข้าวทั่วไป เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นจุดเด่นและความแตกต่างที่น้ำนมข้าวยาคูมีไม่เหมือนน้ำนมข้าวทั่วไป นอกจากนี้น้ำนมข้าวยาคูยังเหมาะสำหรับกลุ่มคนที่แพ้นมถั่วเหลืองและนมวัว เพิ่มมูลค่าให้แก่ข้าวหอมมะลิจากการแปรรูปมาเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ รวมถึงยังได้รับรางวัลเซเว่น อินโนเวชั่น อวอร์ดส์ ด้านสังคม และมาตรฐานออร์แกนิกสากลเจ้าแรกในประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับผลตอบรับตลอดระยะเวลา 3 ปีตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจทางแบรนด์จะมีลูกค้าที่สนับสนุนอยู่เป็นประจำแต่ถ้าภาพรวมยังไม่อยู่ในระดับที่ดีมาก เนื่องจากการกระจายสินค้ายังไม่มากพอที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในกลุ่มกว้างแต่ก็ได้มีการพยายามจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น จากเดิมน้ำนมข้าวยาคูมีทั้งหมด 4 รสชาติ คือ ออริจินอล กับ งาดำ และได้มีการเพิ่มรสชาติเข้ามา ได้แก่ แครอท ไม่เติมน้ำตาล และฟักทอง ซึ่งรสชาติแครอทและฟังทองพยายามตีตลาดลูกค้าที่เป็นกลุ่มวัย 20-30 ปี ซึ่งรสชาติออริจินอลและงาดำลูกค้าส่วนมากจะอยู่ในช่วงวัย 30-40 ปี หรือวัยทำงาน ส่วนรสชาติที่ไม่เติมน้ำตาลก็เป็นการเรียกร้องจากลูกค้าให้ผลิตออกมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านี้อีกด้วย นอกจากนี้น้ำนมข้าวยาคูมีขนาดเดียวคือ 180 ml รวมทั้งหมด 7 รสชาติ และมีราคาตั้งแต่ 40-42 บาท โดยรสชาติออริจินอลกับไม่เติมน้ำตาลจะ 40 บาท ส่วนรสชาติที่เหลือจะ 42 บาท
ในอนาคตได้มีการวางแผนที่จะต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวยาคูให้ไปในทิศทางของการเพิ่มรสชาติที่หลากหลายเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเรื่องรสชาติกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้นแต่ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินงาน เนื่องจากทางแบรนด์เคลมเรื่องออร์แกนิกเพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่ต้องดูหลายปัจจัยในการนำวัตถุดิบมาผลิตทั้งหมดให้เป็นออร์แกนิก ซึ่งวัตถุดิบทั้งหมดที่รับมาผลิตนั้นอยู่ในประเทศไทยและเป็นของเกษตรกรกลุ่มเครือข่ายไทยทั้งหมด โดยการประกันราคาข้าวให้แก่เกษตรกรนั้นถ้าเป็นข้าวหอมมะลิจะอยู่ที่ 38,000 บาทต่อตัน ส่วนข้าวไรซ์เบอร์รี่จะอยู่ที่ 40,000 บาทต่อตัน ซึ่งปกติแล้วราคาประกันข้าวจะถูกกว่านี้แต่ทางแบรนด์มีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรไทยจึงให้ราคาที่เหมาะสมและสูงกว่าตลาดทั่วไป
อย่างไรก็ตามเรียกได้ว่าเป็นการท้าทายในการทำน้ำนมข้าวยาคูซึ่งท้าทายตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบและนำมาทำให้เข้ากับสิ่งที่มีอยู่ เพราะว่ายังไม่เคยมีใครทำมาก่อนทำให้ไม่มีแม่แบบเพื่อศึกษาจำเป็นต้องเริ่มต้นเองใหม่ทั้งหมด ซึ่งความท้าทายแรกคือเรื่องของเครื่องจักรส่วนความท้าทายต่อมาคือการขาย ซึ่งมีวิธีการอย่างไรให้ลูกค้าเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวยาคู เข้าใจคอนเซ็ปและความแตกต่างว่าไม่เหมือนกับท้องตลาดแต่มาจากงานวิจัยที่ทำมาจากน้ำนมข้าวที่มีคุณประโยชน์มากมาย
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : Dimond Fresh เพื่อนรักสุขภาพ
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *