นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า รัฐบาลจะเปิดให้ลงทะเบียนรับเงิน 3,000 บาท ผ่าน www.คนละครึ่ง.com โดยประชาชนที่อายุ 18 ปี และไม่ได้เป็นผู้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถลงทะเบียนรับเงินได้ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. ของวันที่ 16 ต.ค. 2563 เป็นต้นไป โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ลงทะเบียน หากเต็ม 10 ล้านคน ก็ถือว่าครบ หากไม่เต็มก็เปิดให้ลงทะเบียนในวันต่อๆ ไปจนครบ 10 ล้านคน
หลังลงทะเบียนแล้วภายใน 2 วัน ผู้ลงทะเบียนจะได้รับข้อความ SMS ว่าผ่านการพิจารณาหรือไม่ หากผ่านก็ให้โหลดแอปฯ เป๋าตัง ซึ่งรัฐบาลจะโอนวงเงิน 3,000 บาท ให้แก่ผู้ได้สิทธิ เพื่อนำไปซื้อของกินของใช้จากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งร้านค้าจะมีแอปฯ ถุงเงิน ขณะนี้มีมากกว่า 1 แสนร้านค้า โดยผู้ได้สิทธิก็ต้องโอนเงินส่วนที่จะซื้อของเข้าแอปฯ เป๋าตังของตัวเองด้วย เพราะมาตรการนี้เป็นการร่วมจ่ายกันคนละครึ่ง
สำหรับการเริ่มให้ผู้ได้สิทธิเริ่มใช้จ่ายในโครงการได้ในวันที่ 23 ต.ค. 2563 ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2563 โดยรัฐบาลกำหนดช่วยจ่ายค่าซื้อสินค้าวันละไม่เกิน 100 บาท หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน
ขณะที่การไปซื้อสินค้าจะต้องจ่ายเงินผ่านแอปฯ เป๋าตังเท่านั้น โดยนำแอปฯ เป๋าตังไปสแกนกับแอปฯ ถุงเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เช่น ซื้อของ 100 บาท ระบบก็จะตัดเงินของผู้ได้สิทธิในแอปฯ เป๋าตังไป 50 บาท และจะแจ้งว่าวงเงินที่รัฐช่วยจ่ายเหลือ 2,950 บาท โดยในส่วนของรัฐช่วยจ่ายจะดำเนินการจ่ายให้ร้านค้าในวันถัดไป
“ระบบการลงทะเบียนและการใช้เงินจะทำได้เวลา 06.00-23.00 น.ของทุกวัน เพราะระบบต้องหยุดเพื่อประมวลผลข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต่อไป โดยโครงการนี้ผู้ได้สิทธิต้องจ่ายเงินชำระสินค้าผ่านแอปฯ เป๋าตังซึ่งผู้ได้สิทธิก็ต้องเตรียมเงินไว้ให้เพียงพอกับการซื้อสินค้าด้วย ไม่สามารถชำระเป็นเงินสด เพื่อป้องกันการทุจริต” นายลวรณกล่าว
นายลวรณกล่าวว่า ผู้ที่ได้สิทธิแล้วจะต้องเริ่มใช้เงินภายใน 14 วัน หลังจากได้รับ SMS หากไม่ใช้เงิน ระบบจะตัดชื่อออกเพื่อให้คนอื่นเข้ามาจองสิทธิ์ใหม่ โดยผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ยังสามารถมาลงทะเบียนใหม่ โดยโครงการนี้ต้องการให้เกิดการใช้จ่ายจริงๆ ไม่ต้องการให้มีการกักสิทธิ์ของผู้อื่นที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ
ในส่วนของร้านค้าที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ จะเป็นร้านหาบเร่ แผงลอย ร้านค้าขนาดเล็ก ไม่ใช่ร้านค้าขนาดใหญ่ที่เป็นนิติบุคคล และร้านสะดวกซื้อ ที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ส่วนกรณีของแฟรนไชส์ เช่น ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว สามารถเข้าโครงการได้ เพราะถือว่าผู้ที่ขายจริงเป็นบุคคลธรรมดา
สศค.อยากประชาสัมพันธ์ให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการทุกรายมีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่ควรทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะระบบจะตรวจสอบความผิดปกติได้ เช่น ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเคยขายของได้วันละ 2 หมื่นบาท แต่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เป็น 2 แสนบาท และมีความถี่ของการขายผิดปกติ สศค.ก็จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบ หากพบการกระทำผิดก็จะถูกตัดชื่อออกจากโครงการ
นายลวรณกล่าวว่า นอกจากการแจกเงิน 3,000 บาทให้แก่ประชาชน 10 ล้านคนแล้ว รัฐบาลยังช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการ โดยให้วงเงินซื้อสินค้าเพิ่มอีกเดือนละ 500 บาท จากที่ได้รับเดือนละ 200 กับ 300 บาท ก็จะได้รับเดือนละ 700 บาท กับ 800 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. 2563 หรือเท่ากับได้เงินเพิ่มอีก 1,500 บาท เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าคนกลุ่มนี้เข้าถึงเทคโนโลยีลำบาก ทำให้ไม่สะดวกที่จะไปจองสิทธิ์รับเงิน 3,000 บาท จึงให้ความช่วยเหลือแยกออกมา เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มมากขึ้น