ปัจจุบันใครหลายคนเริ่มกลับมาให้ความสนใจกับงานฝีมือมากขึ้น เช่นเดียวกับ “RISSARA” ที่สร้างสรรค์ผลงานด้วยฝีมือของตนเองทั้งหมด ด้วยเทคนิคที่แปลกใหม่เรียกว่าเทคนิคการย้อมแบบ Eco-printing ที่สามารถสร้างเอกลักษณ์เฉพาะถูกใจกลุ่มลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
นริศรา ธีระพันธ์ศิลปิน เจ้าของแบรนด์ “RISSARA” เล่าว่า แบรนด์ “RISSARA” เปิดตัวเมื่อกลางปี 2017 และใช้เวลาก่อนที่จะออกสู่ตลาดใช้เวลานานอยู่เกือบปีในการศึกษาและทดลอง หาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเทคนิคการย้อมแบบ Eco-printing แต่ช่วงที่เริ่มต้นตอนนั้นเทคนิคนี้ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย สำหรับเทคนิคนี้เริ่มต้นมาจากออสเตรเลีย รวมไปถึงฝั่งยุโรปก็เริ่มทำกันมากขึ้น
จึงเล็งเห็นว่ามันเป็นเทคนิคที่น่าสนใจ และถือได้ว่าเป็นเทคนิคที่แปลกสำหรับเมืองไทย เพราะยังไม่มีการใช้เทคนิคในรูปแบบนี้ในไทย เทคนิคการย้อมส่วนใหญ่ที่เห็นกันตามท้องตลาดจะเป็นลักษณะมัดย้อม (tie-dye) หรือเป็นผ้าม่อฮ่อมย้อมคราม จึงเริ่มมองเห็นแนวทาง เนื่องจากตั้งใจไว้ว่าต้องการจะทำงานเกี่ยวกับผ้าย้อมสีธรรมชาติ หลังจากที่ได้สืบค้นข้อมูลและรู้จักกับเทคนิค Eco-print จึงตั้งใจว่าจะลองทำและใช้เทคนิคนี้ในการย้อมผ้า และเริ่มทดลองทำขายที่ตลาดเช้า โครงการบ้านข้างวัด จังหวัดเชียงใหม่
“เทคนิคการย้อมแบบ Eco-printing ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย ทางเราเองเล็งเห็นว่ามันเป็นเทคนิคที่น่าสนใจมากจริงๆ ตอนแรกอาจจะใช้คำว่ามันแปลกดี เลยเริ่มมองเห็นแนวทางแล้วว่าน่าจะทำ เพราะเดิมตั้งใจจะทำงานเกี่ยวกับผ้าย้อมสีธรรมชาติอยู่แล้ว พอมารู้จักกับเทคนิค Eco-print เลยตั้งใจว่าจะลองทำดู จนมาทดลองทำและเริ่มขายจริงๆ ครั้งแรก ที่ตลาดเช้าโครงการบ้านข้างวัด จ.เชียงใหม่”
สำหรับการทำธุรกิจในรูปแบบที่ถือได้ว่าแปลกและใหม่สำหรับตลาดลูกค้าในไทย แต่ก็ยังคงตั้งใจทำ และสร้างแบรนด์ต่อไปเนื่องจากเป็นสิ่งที่ชื่นชอบ เป็นงานที่รัก และสนุกอยู่ด้วยเสมอ งานทุกชิ้นที่ทำขึ้นก็ทำเองกับมือ สามารถอธิบายรายละเอียดของชิ้นงานได้หมด ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นแรงขับเคลื่อน ทุกอย่างให้สามารถประสบความสำเร็จได้
“จริงๆ งานที่ทำเราไม่ได้วางกลยุทธ์หรือแนวคิดอะไรจริงจังมาก เพราะตั้งใจว่าจะทำเพราะเราชอบ รักและสนุกไปกับงานที่ทำ และเราทำกันสองคนย้อมเองกับมือ ของทุกชิ้นที่ทำเราสามารถเล่าได้หมดเลยว่าทำอย่างไร ใช้วัสดุอะไร ใช้ระยะเวลาทำนานแค่ไหน การรู้จักงานที่ทำและรักในงานที่ตัวเองทำ ถือเป็นแนวคิดหลักๆ ของแบรนด์ซึ่งมันจะเป็นตัวขับเคลื่อนทุกๆ อย่างให้ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยตัวของมันเอง”
ในช่วงเริ่มต้นตั้งเป้าไว้เพียงว่าขอให้สินค้าพอขายได้ และมีลูกค้าเข้ามาให้ความสนใจ เนื่องจากสินค้าที่ทำขึ้นมาเป็นเทคนิค Eco-print ซึ่งยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง กลุ่มลูกค้าหลายๆ รายก็รู้จักเพียงการย้อมครามและมัดย้อมเป็นลวดลายต่างๆ เท่านั้น แต่เมื่อได้ลองออกสู่ตลาดจริงๆ ก็ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ
หลังจากนั้นก็สามารถทำให้มองเห็นและสามารถวางแผนในระยะยาวได้ว่า กลุ่มลูกค้าคือใครและรูปแบบไหน จึงสร้างช่องทางการติดต่อที่ง่ายต่อกลุ่มลูกค้ามากขึ้น สร้างเว็บไซต์ และสื่อออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเข้ามาค้นหารายละเอียดสินค้า และสามารถติดต่อสื่อสาร ติดตามได้ง่ายขึ้น
“หลักๆเราเน้นขายแบบ offline มากกว่า online เพราะสินค้าแต่ละชิ้นมันมีที่มาที่ไป เราอยากเล่าอยากอธิบายให้ลูกค้าเราเข้าใจก่อนที่จะซื้อมันไป และสินค้าแต่ละชิ้นคือมีชิ้นเดียวตัวเดียว เป็นงาน Handmade พอขายในลักษณะ offline ก็ต้องมีสถานที่ในการขายให้ชัดเจน ตอนนั้นก็เริ่มมองแล้วว่าเราควรจะมีหน้าร้านประจำ เพื่อให้ลูกค้าสามารถมาหา มาดูสินค้าได้ จึงเริ่มมีหน้าร้านในช่วงปีต้นปี 2018 เป็นต้นมา”
จากตัวสินค้าที่มีเอกลักษณ์และมีความแตกต่างจากสินค้าผ้าย้อมทั่วไป ทำให้ค่อนข้างเป็นที่สนใจจากกลุ่มลูกค้าเวลาที่ไปออกบูธ หรืองานอิเวนท์ต่างๆ สำหรับเทคนิคการย้อมแบบ Eco-print เริ่มเป็นที่รู้จักและทดลองทำกันเองมากขึ้น แต่ “RISSARA” ก็มองผู้ประกอบการรายอื่นเป็น เพื่อนร่วมธุรกิจสายเดียวกันไม่ได้มองเป็นคู่แข่งทางการค้าแต่อย่างใด เนื่องจากสินค้าแบบนี้ก็จะมีเอกลักษ์ที่เป็นของใครของมันเองเพราะงานแบบนี้เป็นงาน Handmade
“ด้วยสินค้ามันค่อนข้างสร้างความแตกต่างอยู่แล้วพอสมควร เวลาไปออกงาน หรือขายตามตลาดต่างๆ มันจะค่อนข้างเป็นที่สนใจ จริงๆ Eco-print เองก็เริ่มมีคนทดลองทำกันมากขึ้น แต่จะเห็นว่าแต่ละร้านเองก็จะมีสไตล์ที่แตกต่างกันไป เพราะงานย้อมแบบนี้มันไม่ได้มีเทคนิคตายตัว หรือมีแพทเทิร์นการทำตายตัว มันคืองานฝีมือ งาน Handmade งานมันก็จะออกมาตามสไตล์ของคนย้อมอยู่แล้ว ซึ่งมันค่อนข้างมีเสน่ห์พอสมควร ชอบด้วยซ้ำที่เห็นงานแบบนี้เยอะขึ้น รู้สึกมีเพื่อน เราไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่งทางการค้า เพราะงานแต่ละชิ้นไม่เหมือนกันหากนำสินค้าของแต่ละร้านมาวางรวมกันเราสามารถบอกได้เลยว่าชิ้นไหนเป็นของร้าน RISSARA สินค้าแตกต่างด้วยลาย, สี ทั้งๆ ที่เป็นเทคนิคเดียวกัน เผลอๆ ใช้ใบไม้ชนิดเดียวกันด้วย”
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทางร้าน “RISSARA” ถือว่าได้รับผลกระทบอย่างหนักเนื่องจากเน้นขายช่องทางออฟไลน์มากกว่า กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เข้ามาซื้อที่หน้าร้าน แต่ก็ยังพอมีลูกค้าในช่องทางออนไลน์อยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าเก่าที่เคยซื้อแล้วและอยากได้เพิ่ม แต่ก็ยังสามารถพลิกวิกฤตในส่วนนี้ ใช้เวลาในส่วนนี้สร้างชิ้นงานสะสมไว้เรื่อยๆ พร้อมกับปรับตัวเข้าสู่ช่องทางการขายในออนไลน์มากขึ้น
“ต้องยอมรับว่าค่อนข้างกระทบหนักมาก ด้วยความที่เราเน้นขายออฟไลน์ ลูกค้าส่วนใหญ่คือมาซื้อที่หน้างาน มีบ้างที่ลูกค้าสั่งผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าเก่าที่เคยซื้อแล้วและอยากได้เพิ่ม พอมี Covid-19 เข้ามาเราก็น๊อคไปเลยเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าเอาเวลาที่มีเพิ่มมากขึ้นค่อยๆทำงานสะสมไว้ แล้วเราเองก็ต้องปรับตัวด้วยการขายผ่านช่องทาง online มากขึ้นด้วย”
ในอนาคตตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมีสินค้าเพิ่มขึ้น และตอนนี้กำลังพัฒนาสินค้าเพื่อรอเปิดตัวอยู่ ทั้งนี้ราคาสินค้าจะอยู่ที่ประมาณ 500-2000 แล้วแต่ประเภท ของผ้า ซึ่งจะมีทั้ง ชุดสำเร็จรูป เสื้อ กางเกง เดรส ผ้าพันคอ โดยมีทั้ง ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน และผ้าไหม พร้อมทั้ง “ลวดลาย” กับ “โทนสี” ซึ่งเป็นจุดที่ลูกค้าสนใจเป็นอันดับแรกก่อนที่จะมารับรู้ถึงกระบวนการที่มาของลวดลายนั้น เพราะเทคนิคเหล่านี้คือการนำเอาใบไม้ หรือดอกไม้ มาทำให้เกิดสีและลวดลาย เป็นการย้อมร้อนโดยม้วนและนำไปนึ่ง
นอกจากนี้ เนื่องด้วยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างชาติ ซึ่งถ้าขายผ่าน Facebook หรือ IG ก็จะเข้าไม่ถึงกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้มากนัก จึงต้องเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มนี้สามารถออเดอร์สินค้าได้ ซึ่งก็ถือว่าตอบโจทย์ เพราะลงขายผ่านเว็บไซต์ของต่างประเทศ ก็มีออเดอร์กดเข้ามาตลอด ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่จะเริ่มต้นปรับเปลี่ยนมาขายเป็นระบบออนไลน์ 100%
สนใจติดต่อ “RISSARA”
Website : www.rissarabrand.com
Facebook : Rissara - Eco Printing Textiles
IG: rissarabrand
Email: rissara.official@gmail.com
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *