กรมประมงเปิดตัวโครงการ “สร้างรายได้จากอาชีพประมงในแหล่งน้ำชุมชน” ณ อ่างเก็บน้ำห้วยวังแดง อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ตั้งเป้าปล่อยพันธุ์กุ้งก้ามกรามจำนวน 287,200,000 ตัวลงแหล่งน้ำชุมชนจำนวน 1,436 แห่งในเขตพื้นที่ 19 จังหวัด หวังสร้างรายได้ให้ชุมชนหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยปี 62 ประเดิมปล่อยกุ้งก้ามกรามจำนวน 1 ล้านตัวลงแหล่งน้ำชุมชนพร้อมกัน 5 จังหวัด ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร และจังหวัดพิจิตร
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากวิกฤตฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยเมื่อปี 2562 ส่งผลให้ภาคการเกษตรในหลายพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือได้รับความเดือดร้อน ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดเร่งสำรวจความเสียหาย พร้อมดำเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ให้แก่เกษตรกรอย่างเร่งด่วน และเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยปี 2562 ทั้งในด้านเกษตร ปศุสัตว์และประมง วงเงินรวม 2,967.50 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 1,075,000 ครัวเรือน
ในภาคประมงจะมี 2 โครงการหลักๆ ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง : การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อดิน วงเงิน 221 ล้านบาท โดยโครงการฯ จะสนับสนุนพันธุ์ปลาและอาหารสัตว์น้ำให้แก่เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายจำนวน 44,311 ราย และ 2. โครงการสร้างรายได้จากอาชีพประมงในแหล่งน้ำชุมชน วงเงินงบประมาณ 430,800,000 บาท โดยโครงการฯ จะสนับสนุนพันธุ์กุ้งก้ามกรามปล่อยลงแหล่งน้ำชุมชนจำนวน 1,436 แหล่ง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรโดยรอบแหล่งน้ำหันมาเลี้ยงกุ้งก้ามกรามเนื่องจากเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีราคาสูงเป็นที่ต้องการของตลาด อีกทั้งยังง่ายต่อการดูแลและมีศักยภาพในการเจริญเติบโตให้ผลตอบแทนที่รวดเร็วเพียงแค่ 4-6 เดือนเท่านั้น เหมาะสมต่อการส่งเสริมให้เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการฯ มีเป้าหมายดำเนินการในแหล่งน้ำชุมชน จำนวน 1,436 แห่ง ในพื้นที่ 129 อำเภอ 19 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ตราด นครพนม บุรีรัมย์ พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สระแก้ว สุโขทัย อำนาจเจริญ อุดรธานี และอุบลราชธานี ซึ่งจะดำเนินการปล่อยพันธุ์กุ้งก้ามกรามทั้งหมด 287,200,000 ตัว โดยจะทยอยปล่อยกุ้งก้ามกรามขนาด 5-7 ซม.ขึ้นไป ซึ่งเป็นขนาดที่มีอัตราการรอดสูงลงในแหล่งน้ำเป้าหมายแห่งละ 200,000 ตัว พร้อมกับอาหารกุ้งที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย จำนวน 1,436 กระสอบ ซึ่งจะมอบให้เป็นต้นทุนอาหารสัตว์น้ำแหล่งน้ำละ 1 กระสอบ ด้านการปล่อยพันธุ์กุ้งก้ามกรามภายใต้โครงการฯ อันดับแรกทุกแหล่งน้ำจะต้องมีการจัดตั้งกรรมการบริหารจัดการแหล่งน้ำชุมชนเพื่อประสานความร่วมมือในระดับท้องถิ่น
พร้อมขับเคลื่อนโครงการในทุกขั้นตอนร่วมไปกับเจ้าหน้าที่กรมประมง ทั้งด้านการเตรียมความพร้อมให้กับแหล่งน้ำ ได้แก่ การลดจำนวนปลาขนาดใหญ่และกินเนื้อ การสร้างที่หลบซ่อนรวมทั้งการสร้างอาหารธรรมชาติในแหล่งน้ำ การกำหนดกติกาการจับสัตว์น้ำของชุมชน การสนับสนุนข้อมูลเพื่อติดตามผลการดำเนินโครงการทั้งในเรื่องของจำนวนและการวิเคราะห์ผลผลิตสัตว์น้ำ ฯลฯ และเมื่อกรมประมงดำเนินการส่งเสริมการเลี้ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิตกรมประมงจะเข้าไปร่วมวางแผนการตลาดโดยจะยึดนโยบายของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้เน้นย้ำในเรื่อง “การตลาดนำการผลิต” ที่มุ่งเน้นการวางแผนการผลิตให้ตรงตามความต้องการตลาด เกษตรกรจะต้องไม่ใช่เพียงผลิตสัตว์น้ำได้แต่จะเรียนรู้วิธีการขายและต้องขายได้ มีช่องทางการตลาดที่เหมาะสมเพื่อที่จะสร้างเป็นอาชีพให้พึ่งพิงได้อย่างยั่งยืน
สำหรับการเปิดตัวโครงการฯ ในวันนี้ กรมประมงจะดำเนินการปล่อยกุ้งก้ามกรามจำนวน 1 ล้านตัว พร้อมกันในพื้นที่ 5 จังหวัด ดังนี้ 1) แหล่งน้ำหนองผือ ตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร 2) บึงอ้ายจ๋อ ต.ดงกลาง อ.เมือง จ.พิจิตร 3) แหล่งน้ำหนองหัวลิง ต.หนองแวง อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร 4) หนองกุง ต.เขาพระนอน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ และ 5) อ่างเก็บน้ำห้วยวังแดง ต.โพธิ์ไทร อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางหลักในการส่งสัญญาณในการปล่อยฯ ผ่านระบบออนไลน์พร้อมกันทั้ง 5 จังหวัด
นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้ด้านการประมง และนิทรรศการเกี่ยวกับนวัตกรรมการใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เข้ามาประเมินผล ตลอดจนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประมงของชุมชนในพื้นที่ สำหรับแหล่งน้ำในพื้นที่อื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการนั้น ทางกรมประมงจะเร่งติดตามความพร้อมของสถานที่และดำเนินการปล่อยกุ้งให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร
ถึงแม้ปัญหาภัยธรรมชาติจะเป็นปัญหาที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็พร้อมยืนเคียงข้างพี่น้องเกษตรกรในทุกปัญหา โครงการดังกล่าวนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่มุ่งหวังที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องเกษตรกร โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในการช่วยกันดูแล รักษา สร้างแหล่งน้ำให้มีชีวิต อันจะก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เพื่อให้เกษตรกรและประชาชนโดยรอบแหล่งน้ำมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถใช้แหล่งน้ำเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
** * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า"SMEsผู้จัดการ"รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุดและร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
SMEs manager