เบื่อไหม? กับการวนหาที่จอดรถ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือแม้กระทั่งอาคารสำนักงานต่างๆ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป กับธุรกิจสตาร์ทอัป “บลู พาร์คกิ้ง” ระบบบริหารที่จอดรถอัจฉริยะ ชูจุดเด่น 7 อย่าง ที่ลูกค้าต้อง ‘ว้าว’ เพราะใช้งานง่ายสะดวกสุดๆ แถมยังต่อยอดเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านระบบบริหารที่จอดรถอัจฉริยะกับภาคอสังหาริมทรัพย์ ช่วยปลดล็อคปัญหาที่จอดรถระดับองค์กร
จากบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยี อย่าง “บลูบิค กรุ๊ป” ไม่หยุดที่จะต่อยอดธุรกิจ ล่าสุดจับเทรนด์ ‘สตาร์ทอัป’ แตกไลน์ธุรกิจที่ชื่อว่า “บลู พาร์คกิ้ง” โชว์นวัตกรรมระบบบริหารที่จอดรถอัจฉริยะ โดยใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Thing)
นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด เผยว่า ไอเดียนี้เกิดมาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว จากการเห็นธุรกิจลานจอดรถ หรือ Smart Parking มีศักยภาพที่จะเติบโตอีกมาก จากการขยายตัวของโครงการสมาร์ทซิตี้ (Smart City) ต่างๆ จึงได้ศึกษาโมเดลธุรกิจนี้อย่างจริงจังทั้งไทยและต่างประเทศ ก็พบว่าระบบซอฟต์แวร์ของไทยยังตามหลังต่างประเทศมาก ดังนั้นจึงมองเป็นโอกาสเพื่อต่อยอดสู่ธุรกิจภายในเครือของ บลูบิค กรุ๊ป ได้จากลูกค้าในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นลูกค้าเก่า หรือ ลูกค้าปัจจุบันของบลูบิคได้ง่าย อีกทั้งยังต่อยอดสู่การเป็นบิ๊กดาต้า (Big Data) ในอนาคตได้อีกมากมาย
ดังนั้นเขาจึงนำร่องธุรกิจนี้ด้วยการชู 7 จุดเด่นสำคัญ สร้างความต่าง พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ได้แก่ 1. การใช้ระบบ ALPR (Auto license plate recognition) ที่สามารถอ่านป้ายทะเบียนรถที่เข้าออกที่จอดรถได้อย่างแม่นยำ และเชื่อมต่อกับไม้กั้นที่เปิดปิดแบบอัตโนมัติ ทำให้การจัดการสมาชิกผู้ใช้งานประจำเป็นไปอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้บัตรในการผ่านเข้าออกอีกต่อไป 2. เจ้าของธุรกิจ สามารถควบคุมจัดการฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของการให้บริการที่จอดรถได้ ไม่ว่าจะเป็น เวลาเปิดปิด การจัดการทะเบียนสมาชิก โดยควบคุมการทำงานแบบเรียลไทม์ (Real Time) 3.ฟีเจอร์ (Feature) จองที่จอดรถล่วงหน้าก่อนเข้าใช้บริการ ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้งาน โดยไม่ต้องกังวลกับการวนหาที่จอดรถอีกต่อไป
4. บริการ API Service เพื่อให้เจ้าของธุรกิจสามารถเชื่อมต่อระบบการจองที่จอดรถเข้ากับแพลตฟอร์มของแบรนด์ เช่น Mobile App หรือ LINE Business Connect เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าออนไลน์ได้มากขึ้น 5.รองรับการชำระค่าบริการแบบไร้เงินสด เช่น QR Code บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต โดยไม่ต้องกังวลกับการเตรียมเงินสดเพื่อชำระค่าจอดรถ ตอบรับในยุคสังคมไร้เงินสด 6.ระบบ E-Coupon ให้ส่วนลดที่จอดรถสำหรับผู้ที่มาติดต่อบริษัทต่าง ๆ ในอาคารสำนักงาน สามารถทำงานได้เหมือนระบบ E-Stamp ทุกประการ ประหยัดโดยที่ไม่ต้องลงทุนกับเครื่อง Hardware 30 กว่าจุดในตัวอาคาร และ 7.สามารถเข้าถึงข้อมูลการใช้บริการของลูกค้าที่ถูกจัดเก็บไว้บน Cloud เพื่อนำไปวิเคราะห์หารูปแบบพฤติกรรมการเข้ามาใช้บริการต่าง ๆ เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ เช่น การกำหนดราคาค่าที่จอดแบบ Dynamic Pricing ตามความหนาแน่นของการใช้งาน เพื่อเพิ่มรายได้ค่าบริการจอดรถ หรือการนำเสนอโปรโมชั่น ให้แก่ผู้ใช้งาน ทันทีที่นำรถเข้าใช้บริการ
“จุดเด่นทั้ง 7 ข้อนั้น เป็นข้อมูลที่เราทำวิจัยและศึกษาความต้องการของลูกค้ามาเป็นอย่างดีว่าผู้ขับรถต้องการอะไร ซึ่งส่วนใหญ่เน้นความสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาหาที่จอดรถ และไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่จอดรถอีกต่อไป สุดท้ายก็ออกมาเป็นจุดเด่นทั้ง 7 ข้อ อย่าง จอดรถโดยไม่ต้องแลกบัตร, ควบคุมการใช้งานแบบเรียลไทม์, จองที่จอดล่วงหน้าก่อนเข้าใช้บริการ หมดปัญหาเสียเวลาวนรถ, ต่อยอดบริการ API Service เชื่อมโยงเข้าแพลตฟอร์มโมบายแอพ และโซเชียลมีเดียเพื่อเป็นเครื่องมือการตลาดเข้าถึงลูกค้า, ระบบชำระเงินแบบไร้เงินสด, ระบบ Smart E-Stamp ผ่านบราวเซอร์ให้ส่วนลดผู้ที่มาติดต่ออาคารโดยที่ไม่ต้องลงทุนกับเครื่อง Hardware E-Stamp และนำข้อมูลบนคลาวด์มาวิเคราะห์สร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ เป็นต้น”
ปัจจุบัน บลู พาร์คกิ้ง ได้เปิดให้บริการระบบบริหารที่จอดรถ และระบบจองที่จอดรถของอาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลจำนวนกว่า 10 แห่ง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 100 แห่งภายในปี 2020 โดยจากสถิติพบว่ากว่า 70% ของลูกค้ายินดีที่จะกลับมาใช้บริการสถานที่ที่มีที่จอดรถที่สะดวกสบายและเพียงพอ และ 55% จะไม่กลับมาใช้บริการอีก หากได้รับประสบการณ์การจอดรถที่ไม่ดีพอ จึงตอกย้ำให้เห็นว่าที่จอดรถ กลายเป็นทัชพอยท์สำคัญในการกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายประเทศเริ่มมีการนำเทคโนโลยี IoT มาประยุกต์ใช้ในการเก็บข้อมูลการจอดรถของลูกค้า เช่น การใช้ ALPR เพื่ออ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ที่เข้าออก บันทึกข้อมูลการเข้าออกของลูกค้าบนระบบคลาวด์ (Cloud) และให้ลูกค้าจองที่จอดรถล่วงหน้าผ่าน แอปพลิเคชันบนมือถือ ทั้งสองฟีเจอร์ที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยี IoT มาใช้เพื่อเก็บข้อมูลของลูกค้าและยังเป็นการยกระดับประสบการณ์การใช้บริการของลูกค้าอีกด้วย
อนาคตเขาตั้งเป้าขยายไปในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์ โรงแรม โรงพยาบาล ลานจอดรถใกล้สถานีรถไฟฟ้า โดยจะช่วยอำนวยความสะดวก ความรวดเร็วให้กับลูกค้า ลูกบ้าน หรือพนักงานออฟฟิศ สามารถช่วยลดการใช้แรงงานคนได้ถึง 40% และยังสามารถให้พนักงานมาโฟกัสงานอื่นที่สำคัญกว่า ช่วยให้ประหยัดต้นทุนในการบริหารหรือจ้างพนักงาน สำหรับเจ้าของธุรกิจศูนย์การค้าที่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง (High Spending) เป็นพิเศษ ฟีเจอร์เรื่องที่จอดรถอัจฉริยะถือว่าตอบโจทย์ และยังช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้บริการที่จอดของลูกค้า ส่งเสริมให้ธุรกิจได้ฐานลูกค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลการเข้าใช้บริการของลูกค้าผ่านทางแอปพลิเคชันได้สมบูรณ์มากขึ้นอีกด้วย
เรียกว่าเป็นการนำองค์ความรู้มาพัฒนาด้วยเทคโนโลยีและอินโนเวชั่นที่ถูกจุด ส่งผลให้สามารถยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภคได้อย่างน่าประทับใจ หากธุรกิจใดสามารถปรับตัวได้เร็วหรือเป็นผู้ที่บุกเบิกการสร้างประสบการณ์ใหม่แก่ลูกค้าได้ก่อน มักจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จเสมอ