สสว. ร่วมกับซอฟต์แวร์ปาร์ก-สวทช. สนับสนุนให้ SME รุ่นใหม่ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Digital มีโอกาสขยายฐานลูกค้าและสร้างเครือข่ายกับธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งในไทยและต่างประเทศ สนองรัฐฯ สร้างเศรษฐกิจดิจิตอลสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0
นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยมี SME ประมาณ 2.8 ล้านกิจการ ได้สร้างอาชีพให้แก่คนไทยมากกว่า 10 ล้านคน และมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 42 ของ GDP ประเทศไทย รัฐบาลมีเป้าหมายจะเพิ่มมูลค่าของ SME ให้เป็นร้อยละ 50 ของ GDP ประเทศภายในปี พ.ศ. 2564 ปัจจัยที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ประการหนึ่ง คือ สนับสนุนให้ SME รุ่นใหม่ประเภท Tech startup, Smart SME หรือ Smart Farmers ผลิตสินค้า หรือบริการที่มีมูลค่าสูง และสามารถขยายฐานลูกค้าออกไปสู่ตลาดโลกได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องช่วยสร้าง network ให้ SME รุ่นใหม่ที่มีนวัตกรรมเหล่านี้ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพต่อธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางที่สนใจจะนำนวัตกรรมของ SME รุ่นใหม่ไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เป็นที่น่ายินดีว่านักธุรกิจต่างประเทศให้ความสนใจต่อนวัตกรรมทางด้าน IT ของ SME รุ่นใหม่ของไทยเรา ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมลงทุนได้ในอนาคต
ด้านนายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์ปาร์ก) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า งาน Technology Investment Conference ประจำปี 2017ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาได้เห็นการพัฒนาและการริเริ่มมากมายในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน ทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีหรือเทคสตาร์ทอัพ ทั้งจากจำนวนของธุรกิจ เงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยในปี 2013 มีน้อยกว่า 10 ราย แต่ล่าสุดกลางปี 2017 พบว่ามีมากถึง 74 รายแล้ว และจากรายงานปี 2017 ของ IMD (หน่วยงานจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน) พบว่ารัฐบาลไทยและเอกชนสามารถเพิ่มงบประมาณสัดส่วนการวิจัยและพัฒนา (R&D) จาก 0.48% ของ GDP ในปี 2016 เป็น 0.62% ในปี 2017 ขณะที่กฎหมายด้านธุรกิจได้พัฒนาขึ้นจากอันดับที่ 44 เป็นอันดับที่ 38 สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาและกฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการเริ่มต้นธุรกิจด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันเป็นอย่างมาก
สำหรับงาน Technology Investment Conference 2017 ในครั้งนี้มีสาระสำคัญ 3 เรื่องที่ผู้ร่วมงานจะได้รับทราบภายในงาน ได้แก่ 1. ความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับเทคสตาร์ทอัพ รวมถึงการลงทุนของ CVC 2. การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ที่จะแก้ปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างมีศักยภาพ และ 3. การเข้าถึงโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัยและของรัฐบาล ซึ่งในการประชุมปีก่อนหน้านี้ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการระดมทุนแบบ Crowdfunding, Angel Investor, VC และสตาร์ทอัพในอาเซียนไปแล้ว การประชุมในปีนี้จึงได้จัดขึ้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่จะสร้างความเข้าใจกลไกทางการเงินสำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ในประเด็น "ธุรกิจยุคใหม่" (Next Business Generation) ด้วยเล็งเห็นว่าหลายธุรกิจอาจกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ฉะนั้น การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมการนำเสนอผลงานของเทคสตาร์ทอัพที่น่าสนใจจากการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งอนาคตมาเป็นพื้นฐานในการทำธุรกิจ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Machine Learning, Chatbot และ Internet of Things (IOT) เป็นต้น
“การลงทุนในธุรกิจเทคสตาร์ทอัพถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับภูมิภาคอาเซียน และเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสตาร์ทอัพให้ก้าวไปข้างหน้า การทำความเข้าใจถึงบริษัทขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ที่จะมาร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพ หรือ CVC (Corporate Venture Capital) ว่าเหมาะสมกับธุรกิจที่สตาร์ทอัพทำอยู่หรือไม่นั้น รวมทั้งโอกาสได้รับฟังการแบ่งปันแนวคิดการพัฒนาและกลยุทธ์นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทราบถึงกระบวนการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อและการแข่งขัน” ผู้อำนวยการซอฟต์แวร์ปาร์ก สวทช.กล่าวทิ้งท้าย
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *