xs
xsm
sm
md
lg

กสอ.เปิดโผ 5 อุตสาหกรรมยอดส่งออกสูงสุดประจำ Q1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ดร.พสุ โลหารชุน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
กสอ.เผยแนวโน้มการส่งออกของเอสเอ็มอีเริ่มฟื้นตัว Q1/59 ขยายร้อยละ 5.1 แจง 5 อุตสาหกรรมมูลค่าส่งออกสูงสุด ได้แก่ อาหาร ยานยนต์และชิ้นส่วน อัญมณีและเครื่องประดับ ยางพารา และสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ตามลำดับ ระบุปัญหาสินค้าไทยขาดการพัฒนา กระทบขายได้ราคาต่ำ เร่งเดินหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถตั้งเป้ายกระดับ ผปก. 570 คน บริษัทและวิสาหกิจชุมชนได้ไม่ต่ำกว่า 177 กิจการ

ดร.พสุ โลหารชุน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวว่า ปัจจุบันภาคการส่งออกของสินค้าไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจากกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ในไตรมาสแรกของปี 2559 การส่งออกขยายตัวถึงร้อยละ 5.1 มีมูลค่าถึงกว่า 1.49 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับ (ข้อมูลสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม) ดังนี้

อันดับที่ 1 อุตสาหกรรมอาหาร มีมูลค่าการส่งออกในปี 2558 จำนวน 26,505.19 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 9.3 แสนล้านบาท ส่วนในไตรมาส 1 ของปี 2559 มีมูลค่าการส่งออกจำนวน 6,495.28 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.46 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2558 ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญในการเพิ่มคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปผักผลไม้จากประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สับปะรดกระป๋องจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และน้ำผลไม้จากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป เป็นต้น

อันดับที่ 2 อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีมูลค่าการส่งออกในปี 2558 จำนวน 25,200.26 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 8.8 แสนล้านบาท โดยในไตรมาส 1 ของปี 2559 มีมูลค่าการส่งออกจำนวน 6,895.55 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.86 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2558 โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญของรถยนต์นั่ง ได้แก่ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ซาอุดีอาระเบีย ขณะที่ตลาดส่งออกของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ได้แก่ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย

อันดับที่ 3 อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ มีมูลค่าการส่งออกในปี 2558 จำนวน 10,994.68 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 3.8 แสนล้านบาท โดยในไตรมาส 1 ของปี 2559 มีมูลค่าการส่งออกจำนวน 4,722.06 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.34 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2558 ซึ่งมีผลมาจากการส่งออกเพิ่มมากขึ้นในเกือบทุกประเภทของสินค้ากลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ เช่น อัญมณี เครื่องประดับแท้ อัญมณีสังเคราะห์ และทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ เช่น ฮ่องกง เบลเยียม สหรัฐอเมริกา อิสราเอล และอินเดีย

อันดับที่ 4 อุตสาหกรรมยางพารา มีมูลค่าการส่งออกในปี 2558 จำนวน 6,851.35 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2.4 แสนล้านบาท โดยในไตรมาส 1 ของปี 2559 มีมูลค่าการส่งออกจำนวน 1,517.89 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 5.3 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.50 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2558 โดยถึงแม้จะมีการส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นเพิ่มขึ้นแต่ราคายางปรับตัวลดลงอย่างมากจึงทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงตามไปด้วย โดยตลาดส่งออกที่สำคัญสำหรับยางแปรรูปขั้นต้น คือ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ ส่วนยางยานพาหนะมีการส่งออกปรับตัวลดลงตามความต้องการของตลาดหลัก ได้แก่ อาเซียน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น และในส่วนของถุงมือยางและถุงมือตรวจมีการส่งออกลดลงมีสาเหตุมาจากการถูกตัด GSP จากสหภาพยุโรป ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญไป

อันดับที่ 5 อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่าการส่งออกในปี 2558 จำนวน 6,838.51 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2.4 แสนล้านบาท โดยในไตรมาส 1 ของปี 2559 มีมูลค่าการส่งออกจำนวน 1,586.96 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.64 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2558 ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่ลดลงในตลาดหลัก ได้แก่ อาเซียน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป

ดร.พสุกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาหลักของผู้ประกอบการ SMEs ไทยในปัจจุบัน คือขาดการพัฒนาอย่างยั่งยืน สินค้าและบริการส่วนมากไม่สามารถพัฒนาคุณสมบัติและการออกแบบให้ตรงตามความต้องการของตลาดทำให้สินค้าขายได้ในราคาต่ำ ซึ่งสาเหตุหลักสำคัญเป็นเพราะผู้ประกอบการยังขาดความรู้ ความเข้าใจของการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์

ทั้งนี้ กสอ.ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาและส่งเสริมเอสเอ็มอี จึงริเริ่มจัดโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งประกอบไปด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษาในด้านการออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การประเมินผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การจัดทำ Market Survey การกำหนดกลยุทธ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การจัดทำ Market Test การปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น โดยโครงการดังกล่าวมุ่งเป้าหมายส่งเสริมในกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและส่งออก 10 กลุ่ม ได้แก่ 1. อาหารแปรรูป 2. ยานยนต์และชิ้นส่วน 3. อัญมณีและเครื่องประดับ 4. ยางพารา 5. สิ่งทอและเครื่องนุ่งหุ่ม 6. เครื่องหนัง 7. ไม้และเครื่องเรือน 8. เซรามิกและแก้ว 9. เกษตรแปรรูป 10. เครื่องดื่ม

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวส่งเสริมเอสเอ็มอีทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคด้วยงบประมาณกว่า 52 ล้านบาท โดยตั้งเป้าพัฒนาผู้ประกอบการทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 570 คน และพัฒนา SMEs และวิสาหกิจชุมชนได้ไม่ต่ำกว่า 177 กิจการ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 180 วัน ซึ่งกำหนดแล้วเสร็จสิ้นเดือนกันยายนนี้ โดยคาดว่าเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้วจะสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เพิ่มความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ และสามารถเพิ่มมูลค่าการจำหน่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น