เพาะต้นอ่อนทานตะวัน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในกลุ่มของคนรักสุขภาพ เพราะคุณสมบัติของต้นอ่อน เป็นพืชผักที่ปลอดภัยจากสารเคมี เนื่องจากระยะเวลาการปลูกที่สั้น ไม่มีแมลงศัตรูพืช รวมถึงไม่ต้องบำรุงด้วยสารอาหาร อะไร ก็เติบโตเก็บผลผลิตได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญสารอาหารที่มีอยู่ในต้นอ่อนนั้น มีมากมาย โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามิน เอ บี วี และ วิตามินอี มากกว่า ผักใบเขียวถึง 2 เท่า ซึ่งประโยชน์ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดี ช่วยบำรุงเซล์ลสมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม(อัลไซเมอร์) กระดูก ผิวพรรณ เส้นผม และคุณประโยชน์ของต้นอ่อน นี่เอง ทำให้ “จรินทร์ อาสาทรงธรรม” อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้หันมาเพาะต้นอ่อนทานตะวันอย่างเป็นจริงเป็นจัง จนเกิดเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่มเป็นหลักหมื่นบาทต่อเดือน
อาจารย์จรินทร์ ไม่ได้มีรายได้จากการจำหน่ายต้นอ่อนทานตะวัน แต่รายได้มาจากการขายอุปกรณ์การเพาะต้นอ่อน พร้อมวิธีการเพาะต้นอ่อนที่ใครได้อ่านก็สามารถไปเพาะกินเองที่ได้บ้านได้ โดยชุดอุปกรณ์การเพาะต้นอ่อนทานตะวันดังกล่าว มีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ คือ ชุดขนาดครอบครัว ซึ่งจะประกอบด้วยตะกร้า ขนาด 20x28 เซนติเมตร และเมล็ดเพาะน้ำหนัก 50 กรัม สำหรับการเพาะได้ 2 ครั้ง พร้อมดินขุยมะพร้าว และตาข่ายตาถี่สีเขียว โดยชุดครอบครัวจะเพาะต้นอ่อนออกมาได้ประมาณ 500 กรัม ถึง 600 กรัม ซึ่งอุปกรณ์ชุดนี้ขายในราคา 100 บาท
ส่วนแบบที่ 2 แบบมืออาชีพ จะได้ตะกร้าขนาด 29x38 เซนติเมตร เมล็ดพันธุ์ 100 กรัม 3 ชุด เพาะได้ 3 ครั้ง พร้อมดิน และตาข่ายสีเขียว โดยชุดใหญ่นี้ เมื่อเพาะได้จะได้ต้นอ่อนน้ำหนัก 1,000 กรัม ราคา 200 บาท ซึ่งช่องทางการขายอุปกรณ์เพาะต้นอ่อน ของอาจารย์จรินทร์ มาจากการได้ไปร่วมออกร้านที่ พิพิธภัณฑ์การเกษตร อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี และการแนะนำการเพาะต้นอ่อนทานตะวันแบบง่าย ที่บล็อก ของเนชั่น ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะอาจารย์จรินทร์ไม่ได้ขายแค่อุปกรณ์ แต่จะสอนการเพาะต้นอ่อนทุกขั้นตอน พร้อมให้คำปรึกษาแก่มือใหม่ทุกคนด้วย ส่วนรายได้อื่นๆ มาจากการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ เพราะอาจารย์การันตีว่า เมล็ดพันธุ์งอกทุกเมล็ด เนื่องจากได้แหล่งซื้อเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ
อาจารย์จรินทร์ เล่าว่า จุดเริ่มต้น การมาเพาะต้นอ่อนทานตะวันจำหน่าย และขายอุปกรณ์ในครั้งนี้ มาจาก โดยส่วนตัวชื่นชอบการปลูกต้นไม้ และได้มีโอกาสไปศึกษาเรื่องการเพาะถั่วงอก ที่พิพิธภัณฑ์การเกษตร และหลังจากนั้น เมื่อทางพิพิธภัณฑ์เปิดให้ออกร้าน ทุกเดือนก็จะนำความรู้เรื่องการเพาะถั่วงอก และต้นอ่อนไปเผยแพร่ให้กับผู้สนใจในงาน พร้อมกับจำหน่าย ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก สำหรับตัวถั่วงอกที่เพาะไปจำหน่าย เพราะรสชาติของถั่วงอกที่ผมเพาะจะมีความหวาน กรอบ มากกว่า ถั่วงอกที่เพาะกันทั่วไป และรูปร่างหน้าตาถั่วงอก เราก็จะไม่เหมือนกับถัวงอกที่ถั่วไป เนืองจากถั่วงอกที่ เพาะในที่แคบในขวด ต้นจะไม่โตมาก เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด น้ำที่รดไปก็ไม่มาก ทำให้ไม่ชุ่มน้ำ และหลังจากนั้น ก็เริ่มทำชุดอุปกรณ์เพาะต้นอ่อนทานตะวันขายควบคู่ไปด้วย
“โดยช่วงก่อนหน้านี้สัก 2 ปี กระแสของต้นอ่อนทานตะวันมาแรงมาก ผมก็เลยไปศึกษาเรื่องต้นอ่อน และทำเป็นอุปกรณ์การเพาะ พร้อมวิธีการเพาะจำหน่าย ซึ่งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี โดยเฉพาะคนเมือง ที่ต้องการปลูกผักที่ปลอดสารพิษ กินเอง ก็จะซื้ออุปกรณ์ของเราไปเพาะกินเองในครอบครัว และบางคนเหลือจากกินภายในบ้าน ก็นำออกจำหน่าย สร้างรายได้เสริม ได้มากพอสมควร เพราะราคาต้นอ่อน ค่อนข้างสูง เดิมกิโลกรัมละ 200-300 บาท แต่ปัจจุบันลดลงมาเหลือก กิโลกรัมละ 100-150 บาท ซึ่งถือว่า ผลตอบแทนค่อนข้างดี แต่ผู้ที่ต้องการเพาะจำหน่ายจะต้องไปศึกษาตลาดมาก่อน เพราะตลาดต้นอ่อนความต้องการไม่แน่นอน ”
สำหรับเมนูที่ใช้ต้นอ่อนทานตะวัน ได้แก่ สลัด แกงจืด ผัดต้นอ่อน แกงส้ม ซึ่งเมนูอาหารน้น หลากหลายขึ้นอยู่กับ พ่อครัว แม่ครัว ว่านำไปทำเมนูอะไร การเพาะต้นอ่อน ใช้เวลาในการเพาะ 7 วัน เก็บผลผลิตได้ การลงทุน มีค่าเมล็ดพันธุ์ ดินก็เลือกใช้ดินขุยมะพร้าว ใช้ดินไม่เยอะ ส่วนช่องทางการขายมีร้านสลัด ร้านอาหาร และในห้างสรรพสินค้า การแข่งขันไม่สูง มีผู้เพาะจริงแบบเป็นฟาร์มใหญ่ไม่มาก เพราะส่วนใหญ่เพาะกินเอง
โทร. 08-9124-2675 ,www.facebook.com/khonpathum
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *