การเป็นเกษตรกรใช่ว่าจะเป็นตาสีตาสา เรียนรู้อะไรใหม่ไม่ได้ เพราะทุกอย่างสามารถเรียนรู้ได้หมด เพียงแต่ต้องรู้จักที่จะอดทนกับการทดลองทำสิ่งใหม่ อาจจะต้องล้มลุกคลุกคลานบ้างในช่วงเริ่มต้น แต่ถ้าผ่านไปได้ ทุกคนก็มีสิทธิ์รวยได้ คำกล่าวของ “ลุงหยุด แช่มประเสริฐ”
"ลุงหยุด" เป็นเกษตรกรผู้เพาะเห็ด ตำบลคลองเรือ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ซึ่งฟาร์มเห็ดของลุงหยุดยังเป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องเห็ดครบวงจร บ้านคลองไทร มีเกษตรกร นักวิชาการ มาเรียนรู้เรื่องเห็ดที่ฟาร์มแห่งนี้มาเป็นเวลานานเกือบ 10 ปี มีคนมาดูงานฟาร์มลุงหยุดมากกว่า 5,000 คน
ก่อนอื่นมารู้จัก "ลุงหยุด" ว่าแกเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงมีระดับนักวิชาการ และคนสนใจฟาร์มเห็ดแห่งนี้จนเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ ผ่านการบอกเล่าของ "ลุงหยุด" ว่า เดิมตนเองเข้ามาทำงานขับแท็กซี่ และขับรถร่วมองค์กรรับส่งสินค้าพัสดุภัณฑ์ ร.ส.พ. ที่กรุงเทพฯ จนวันหนึ่งคิดว่าทำไปก็คงจะไม่มีโอกาสมีเงินแสน เงินล้านเหมือนคนอื่น ก็เลยตัดสินใจมาหาซื้อที่ดินทำการเกษตร ตอนนั้นที่ดินราคาไร่ละ 20,000 บาท เป็นที่ น.ส.3 ตอนแรกปลูกไม้ผล และไม้ประดับขาย แต่มีคนทำกันมาก ลุงก็เลยมองหาอะไรที่คนยังไม่ค่อยทำ ซึ่งตอนนั้นปี 2547 ทดลองศึกษาการเพาะเห็ดฟาง ลองผิดลองถูก ทำไป 8 เดือนเป็นหนี้ 6-7 แสนบาท ตอนนั้นคิดว่าถ้ายังทำต่อไปน่ากลัวจะต้องยกที่ดินแปลงนี้ให้ธนาคาร
สุดท้าย "ลุงหยุด" หันมาศึกษาการเพาะก้อนเชื้อเห็ดขาย ไปพร้อมกับการเก็บดอกเห็ด ลุงใช้เวลาแค่ 3 เดือนในการขายก้อนเพาะเชื้อเห็ด สามารถปลดหนี้หลักแสนบาทได้ทั้งหมด และต่อมาได้ศึกษาการเพาะเห็ดสายพันธุ์อื่นๆ เพราะตอนหลังเห็ดฟางเริ่มล้นตลาด เห็ดที่สร้างเงินให้กับลุงหยุดในเวลาต่อมาคือ เห็ดนางฟ้า (ลุงหยุดบอกว่า ลุงเป็นคนแรกที่เพาะเห็ดนางฟ้าภูฐาน) และมีเห็ดตัวอื่นๆ ที่ลุงศึกษา และทดลองเพาะก้อนเชื้อขายเมื่อปี 2550 ได้แก่ เห็ดนางฟ้าภูฐาน เห็ดขอน เห็ดนางรมฮังการี เห็ดลม และเห็ดโคนญี่ปุ่น ซึ่งจากการศึกษาอย่างจริงจัง และได้มีการถ่ายทอดให้แก่คนที่สนใจไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ลุงมามองว่าถ้าอย่างนั้นลุงเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ไปเลยแล้วกัน
ทั้งนี้ ด้วยความที่ "ลุงหยุด" เป็นเกษตรกรที่ไม่ยอมให้ตลาดมาเป็นตัวนำสินค้า ก็เลยต้องพยายามหาช่องว่างทางการตลาด และหาสินค้าที่ตลาดต้องการออกมาอยู่เรื่อย และวันนี้ลุงหยุดก็ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้การเพาะเห็ดหลินจือ และเห็ดถั่งเช่าสีทอง หลายคน อาจจะรู้จักเห็ดถั่งเช่ากันมานาน แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้คนไทยสามารถผลิตเห็ดถั่งเช่าสีทองเป็นผลสำเร็จในหลายจังหวัด จุดเริ่มต้นมาจากศูนย์เรียนรู้ของลุงหยุดแห่งนี้
ลุงหยุดเล่าว่า เห็ดหลินจือ และเห็ดถั่งเช่าสีทอง เป็นเห็ดบริโภคเพื่อสุขภาพ ไม่ได้เป็นเห็ดที่กินเป็นอาหารทั่วไป ดังนั้น กลุ่มตลาดจะแคบ มีเพียง 5-10% ที่บริโภคเห็ดทั้ง 2 ชนิดนี้ ดังนั้น กลุ่มคนที่สนใจเพาะเห็ดแบบนี้มีไม่มาก ประกอบกับต้นทุนในการผลิตค่อนข้างสูง ปัจจุบันได้เปิดอบรมให้แก่ผู้สนใจไปแล้วประมาณ 1,000 ราย แต่ที่ออกไปทำจริงประมาณ 5% โดยจะมีที่ภาคเหนือ (เชียงใหม่ และเชียงราย) ประมาณ 20 ราย ขายนักท่องเที่ยวจีน ภาคอีสาน 8-10 ราย เน้นการแปรรูป ก่อนนำออกขาย ส่วนน้อยที่ขายสดส่งให้โรงงานที่แปรรูปอีกทีหนึ่ง และภาคใต้ ประมาณ 8-10 ราย ส่วนใหญ่นำไปแปรรูปก่อนนำออกจำหน่ายเช่นกัน ลูกค้าจะเป็นคนจีนในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์
ส่วนตลาดถั่งเช่าสีทองนั้น คนไทย ยังนิยมบริโภคถั่งเช่าสีทอง และเห็ดหลินจือ เมื่อเทียบกับเห็ดชนิดอื่นๆ ถือว่าน้อยมาก เพียงแค่ 5-10% เท่านั้น แต่ถ้าผู้ผลิตมีลู่ทางในการทำตลาด ก็ถือว่าเป็นเห็ดที่ให้ผลตอลแทนสูง ส่วนตลาด แบ่งออกเป็นคนไทยที่ต้องการดูแลสุขภาพ และนักท่องเที่ยวจีน สาเหตุที่คนจีนสนใจซื้อถั่งเช่าจากประเทศไทย ทั้งที่ ประเทศจีนก็มีการเพาะเห็ดถั่งเช่ากันมาก เพราะถั่งเช่าที่ขายที่ประเทศจีนส่วนใหญ่จะเป็นถั่งเช่าที่โดนรีดสารอาหารที่เป็นประโยชน์ออกไปแล้ว และนำกลับมาขายโดยการย้อมสี ราคาถูกกิโลกรัมละ 1,000 บาท ดังนั้น พอมาประเทศไทยก็เลยชอบที่จะซื้อจากบ้านเรากลับไป
พอถามถึงราคา ถั่งเช่าสีทองที่ประเทศไทยราคาสูงใกล้เคียงกับประเทศจีน คืออยู่ที่กิโลกรัมละ 60,000 บาท จากฟาร์ม แต่ถ้าคนที่นำไปขายต่อ บางครั้งสูงกว่านั้นอีก ราคาประมาณ 80,000-100,000 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งก็คงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมราคาถึงสูงขนาดนี้ เพราะขั้นตอนกว่าจะเพาะเห็ดชนิดนี้ได้ก็ไม่ใช่ง่าย เห็ดต้องอยู่ในห้องควบคุมอุณหภูมิ และห้องที่สะอาด ปราศจากเชื้อ สิ่งแปลกปลอม โดยการลงทุนทำห้องขนาด 3x5 เมตร ใช้เงินสูงถึง 2 แสนบาท ถึง 5 แสนบาท ได้ผลผลิตตั้งแต่ 1-2 กิโลกรัมต่อครั้ง
การเพาะเห็ดถั่งเช่า เริ่มตั้งแต่การนำก้อนเชื้อไปเพาะในห้องควบคุมอุณหภูมิ คอยดูแลเรื่องความสะอาด คอยเขี่ยเชื้อโรคออกถ้าพบ และเติมอาหารบ้างเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่ต้องทำอะไร เหมาะกับคนที่ทำเป็นอาชีพเสริม เพราะไม่ต้องดูแลตลอด ใช้เวลาช่วงเย็นหลังเลิกงาน การเก็บผลผลิตใช้เวลา 3 เดือน ถึง 3 เดือนครึ่ง การนำไปแปรรูปทำได้หลายแบบ เช่น ทำเป็นแคปซูล ตากแห้ง ทำเป็นชาชงดื่ม หรือนำไปทำเป็น น้ำเห็ดถั่งเช่า ทำสบู่บำรุงให้ผิวพรรณเต่งตึง เป็นต้น
"ลุงหยุด" เล่าว่า ผลผลิตถั่งเช่าสีทองจากฟาร์มแห่งนี้ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกนำไปเพาะเชื้อเพื่อขายให้คนที่มาอบรมนำไปเพาะต่อ ในราคาขวดละ 200 บาท ส่วนที่ 2 นำไปแปรรูป สบู่ น้ำเห็ด และแคปซูล ส่วน 3 นำไปขายสดแบบตากแห้ง ในราคากิโลกรัม 60,000 บาท ส่วนนี้ใน 1 ปีจะขายได้ 2-3 กิโลกรัม โดยจะมีคนมารับไปจำหน่ายต่อให้ลูกค้านักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และบางคนก็ซื้อเพื่อนำไปแปรรูปต่อ ส่วนผลผลิตแปรรูปจะมีคนเข้ามาซื้อที่หน้าฟาร์ม บางส่วนก็รับไปจำหน่ายต่อ บางคนก็ซื้อเพื่อรับประทานเอง
ส่วนรายได้ของลุง นอกจากเห็ดถั่งเช่า ยังมีเห็ดหลินจือ ที่ขายเป็นชา แคปซูล และน้ำเห็ดหลินจือ รวมถึงก้อนเพาะเชื้อเห็ดหลินจือ ในราคาก้อนละ 10 บาท ส่วนเห็ดอื่นจะขายก้อนละ 6.50 บาท ส่วนผู้ที่สนใจอบรมการเพาะเห็ดถั่งเช่า คิดค่าหัวละ 5,000 บาท เปิดอีกครั้งในเดือนมีนาคม 2559 ระยะเวลาในการอบรม 2 วัน
สนใจ โทร. 08-4454-6495, 08-5235-1407
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *