“ยาไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต” เป็นแนวคิดของเภสัชกร ที่เมื่อคลุกคลีอยู่ในวงการยามานาน ทำให้รู้ว่ายังมีสิ่งที่ธรรมชาติสรรค์สร้างอีกมากเพื่อทดแทนการใช้ยารักษาโรค ทำให้เขาตัดสินใจเลี้ยงผึ้ง พร้อมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายดีต่อสุขภาพ สามารถสร้างมาตรฐานและชื่อเสียงโด่งดังถึงต่างแดน
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2522 หรือเมื่อ 36 ปี อาชีพฟาร์มเลี้ยงผึ้งถือว่ายังไม่เป็นที่แพร่หลาย ผู้คนยังไม่รู้จักวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง แต่สำหรับ “วีระพันธุ์ ตันติพงษ์” อดีตเภสัชกร กับภรรยาคู่ใจ “ศิริพร ตันติพงษ์” ปัจจุบันผันตัวเองมาเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีโปรดักส์ อินดัสตรี้ จำกัด ภายใต้แบรนด์ “บีโปรดักส์ไทย” (Bee Product Thai) ขอลองผิดลองถูกกับอาชีพนี้สักครั้ง
จังหวัดเชียงใหม่เป็นทำเลที่เขาเลือก ด้วยสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศที่เอื้อต่อการเลี้ยงผึ้ง โดยช่วงแรกทำเป็นน้ำผึ้งบรรจุขวด ลงทุนสร้างแบรนด์และติดฉลากสวยงาม กลายเป็นสินค้าใหม่ในตลาดที่หลายคนมองว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า เนื่องจากการบริโภคน้ำผึ้งในสมัยนั้นชาวบ้านหาเองในป่าแล้วนำมาบรรจุลงขวดรับประทานกันในครอบครัว
แต่สำหรับนายวีระพันธุ์มองไกลกว่านั้น จากสรรพคุณของน้ำผึ้งที่ดีต่อสุขภาพ แถมยังเป็นผลผลิตจากธรรมชาติอย่างแท้จริง กระทั่งเมื่อปี 2530 มีการใช้ประโยชน์จากผึ้งมากขึ้น มีการแปรรูปเป็นนมผึ้ง ชันผึ้ง เกสรผึ้ง ที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ บีโปรดักส์ไทย มียอดขายทะยานสู่หลักล้านในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาจึงลงทุนซื้อเครื่องจักรเพิ่มกำลังการผลิต และสร้างตึกเพื่อให้เป็นแหล่งผลิต สำนักงาน และบ้านในที่เดียว
หลังจากดำเนินธุรกิจมาได้ระยะหนึ่ง 'บีโปรดักส์ไทย' เป็นที่ยอมรับมากขึ้น มองเห็นโอกาสเติบโต ทำให้โรงงานผลิตที่เป็นตึกแถวเริ่มไม่เพียงพอ เขาตัดสินใจซื้อที่ดิน 48 ไร่ใน จ.ลำพูน สร้างโรงงานขนาดใหญ่ ครบวงจรด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้ง และมาตรฐาน GMP HACCP หวังรองรับการส่งออกในอนาคตที่เขามั่นใจว่าจะเกิดขึ้นแน่
“เราใช้ความรู้ทางด้านเภสัชกรรมและควบคุมการผลิตโดยใช้หลักทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบกับเครื่องจักรที่ทันสมัย ทำให้ผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตจากองค์กรต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น ISO 9001 : 2000 GMP & HACCP Codex เพื่อมอบผลิตภัณฑ์ธรรมชาติคุณภาพดี สะอาด และปลอดภัยต่อผู้บริโภค (Green, Clean & Safety)”
กระทั่งเข้าสู่ปี 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ บีโปรดักส์ไทยก็ได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ 'ในวิกฤตย่อมมีโอกาส' หลังเขาตัดสินใจทำมาตรฐาน ISO ตามคำชักชวนของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งช่วงแรกพวกเขายอมรับว่าค่อนข้างกังวลกับการทำมาตรฐานนี้ แต่หลังจากได้ ISO 9001: 2000 มาได้เพียง 3 เดือน ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ บีโปรดักส์ไทย แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. ส่งวัตถุดิบทั้งในและต่างประเทศ ประมาณ 60% ไปยังประเทศในแถบยุโรป เยอรมนี สหรัฐฯ และฝรั่งเศส โดยส่วนใหญ่นำไปทำซอส อบเนื้อ ใช้แทนน้ำตาล ทำเครื่องสำอาง 2. สร้างแบรนด์ของตัวเอง (Bee Product Thai) ประมาณ 30% เช่น น้ำผึ้ง ผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียม และ3. รับจ้างผลิต (OEM) ประมาณ 20% ไปยังประเทศสิงคโปร์ และจีน
ส่วนราคาขายผลิตภัณฑ์เริ่มต้นที่ 100-1,000 กว่าบาท โดยราคาได้ปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากวัตถุดิบหลักมาจากธรรมชาติ เมื่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยน แล้ง ฤดูร้อนมาเร็ว ดอกไม้บานช้า ทำให้ได้ผลผลิตจากผึ้งน้อยลง ส่งผลราคาสูงขึ้น แต่แนวโน้มโดยรวมถือว่ายังดีอยู่ จากเทรนด์คนรักสุขภาพมักเลือกผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ผู้คนมักซื้อเป็นกระเช้าของขวัญให้กัน
'ทุกธุรกิจต้องมีการพัฒนาจะหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะถ้าหยุดนั่นหมายถึงการถอยหลัง จะสู้คนอื่นไม่ได้' ข้อคิดดีๆ จากผู้บริหารบีโปรดักส์ไทย ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะนำไปใช้กับธุรกิจของตนเองก็ไม่ว่ากัน
***สนใจติดต่อบริษัท บี โปรดักส์ อินดัสตรี้ จำกัด สำนักงานเชียงใหม่ เลขที่ 187/12 ถ.ช้างคลาน ต.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50100 โทร. 0-5382-1247-8 หรือที่ www.beeproductsthai.com***
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *