เมื่อมาท่องเที่ยว จ.กาญจนบุรี คงต้องอยากจะนอนพักบน“เรือนแพ”ริมแม่น้ำ และยิ่งกว่านั้น หากเป็นแพที่ตกแต่งอย่างสวยงามสไตล์ “บ้านไม้โบราณ” ภายใต้ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันระดับโรงแรม ยิ่งตอบความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ดีมากขึ้นไปอีก
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นจุดเด่นของ“บูติค ราฟท์ รีสอร์ต” (Boutique Raft resort) ตั้งอยู่ที่ ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี บุกเบิกโดยหนุ่มลูกหม้อชาวเมืองกาญจน์แท้ๆ ที่สะสมความรู้จากชีวิตมนุษย์เงินเดือน ก่อนจะเริ่มตามฝันสร้างธุรกิจของตัวเอง ซึ่งทุกวันนี้ รีสอร์ตริมแห่งนี้ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ไม่ว่าเศรษฐกิจภายในและนอกประเทศ จะซบเซาเพียงใด ลูกค้ายังคงเข้าพักเนืองแน่นเต็มตลอดทั้งปี
“ผมเป็นคนท้องถิ่น เรียนจบมาด้านการโรงแรมโดยตรง หลังจากนั้น ก็ทำงานประจำที่โรงแรมในกรุงเทพฯ แล้วไปเรียนต่อปริญญาโท ด้านการโรงแรมที่ประเทศออสเตรเลีย เพราะตั้งใจสักวันหนึ่งอยากจะทำธุรกิจรีสอร์ตหรือโรงแรมที่บ้านเกิดอยู่แล้ว”
“จนเมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว มาเจอทำเลแห่งนี้ เจ้าของเดิมเปิดเป็น “แพอาหาร” ต้องการจะขายกิจการ ผมเห็นทำเลแล้ว ก็ถูกใจมาก เพราะทัศนีย์ภาพสวยงาม มองรอบๆ ตัว 360 องศา มีแต่ธรรมชาติ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ บดบังเลย” ประทีป ตันประเสริฐ เจ้าของ “บูติค ราฟท์ รีสอร์ต” เริ่มต้นเล่าที่มาของธุรกิจ
ด้วยความฝันอยากทำธุรกิจรีสอร์ตที่บ้านเกิดมาตลอด เมื่อเจอทำเลที่เชื่อว่า“ใช่” และมีความรู้ประสบการณ์จากงานประจำมากพอสมควร ไม่รอช้าที่จะลงมือทำอย่างจริงจัง โดยชักชวนเพื่อนสนิท อย่าง “ชาญณรงค์ ใจสัมฤทธิ์” ซึ่งมีความรู้ด้านงานออกแบบและก่อสร้าง มาร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ประทีปตระหนักดีกว่า การเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ รายเล็กๆ และที่สำคัญเงินทุนไม่มากนัก การจะทำธุรกิจรีสอร์ตให้ประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีจุดเด่น หรือความแตกต่าง หลีกหนีการแข่งขันจากธุรกิจรีสอร์ตอื่นๆ ในท้องถิ่นที่มีอยู่จำนวนมาก
“เนื่องจากเราเป็นรายเล็ก หนทางที่จะอยู่ได้ คือ เราต้องไม่มีคู่แข่งเลย ต้องเป็นรีสอร์ตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ ผมเลยเริ่มจากการทำสำรวจตลาด โดยดูรีสอร์ต ที่มีอยู่ประมาณ 50 แห่งในย่านไทรโยกน้อย ซึ่งเป็นโซนที่เราตั้งอยู่ โดยสำรวจทั้งด้านดีไซน์ ราคา บริการฯลฯ ประกอบกับดูข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เพื่อดูจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองกาญจน์ ประมาณปีละ 5 ล้านคน และเวลาพักแต่ละการท่องเที่ยว ฯลฯ เหล่านี้ นำมาประกอบกับเพื่อที่จะใช้เป็นข้อมูลในการวางรูปแบบรีสอร์ตของเราให้มีความแตกต่างจากรีสอร์ตแห่งอื่นๆ ในขณะเดียวกัน ก็ตอบความต้องการของตลาดได้ตรงด้วย” หนุ่มรวยความสามารถ กล่าว
จากการสำรวจข้อมูลดังกล่าว ทำให้รู้ดีว่า ผู้มาพัก จ.กาญจนบุรี ชอบพัก “เรือนแพ” ริมแม่น้ำ ทว่า ในช่วงเวลานั้น ที่พักแบบเรือนแพริมน้ำ ยังไม่ได้มาตรฐานความสะดวกระดับโรงแรมเลย ฉะนั้น หัวใจสำคัญของรีสอร์ตที่จะสร้างขึ้น ต้องเป็นเรือนแพพักริมน้ำ ระดับ VIP มีสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการเหมือนระดับโรงแรมหรูเลย
ทั้งนี้ ด้านดีไซน์ต้องโดดเด่นไม่แพ้กัน และด้วยส่วนตัวเป็นคนนิยมและสะสมงาน “ไม้เก่า” เป็นที่มาของการสร้างสรรค์เรือนแพทุกหลัง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในห้อง ไม่ว่าจะเป็นเตียง ตู้ เก้าอี้ ฯลฯ ล้วนทำมาจากวัสดุไม้เก่าเนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง ไม้ประดู่ เป็นต้น ต่อประกอบขึ้นเองโดยช่างพื้นท้องถิ่น
อีกส่วนสำคัญมาก ที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่รายนี้ วางแผนล่วงหน้าปูทางสู่ความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยม คือ กลยุทธ์มุ่งตอบความต้องการของลูกค้ากลุ่มตัวแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือที่คนในวงการเรียกกันว่า “เอเยนต์ทัวร์” ด้วยการนำเสนอจุดเด่นเป็น “บูติค โฮเต็ล” ริมน้ำ ราคาถูก แต่คุณภาพสูง
“จากที่ผมอยู่ในวงการธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยวมาตลอด ทำให้รู้ว่า เอเยนต์มีความสำคัญมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้ เขาจะตระเวนแสวงหาที่พักดีๆ เพื่อนำนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเข้าพัก ผมก็พยายามไปนำเสนอจุดเด่นของรีสอร์ต ชูเรื่องราคาถูก แต่คุณภาพสูง ซึ่งก่อนที่เขาจะพานักท่องเที่ยวมาพัก ก็จะมาตรวจสถานที่ด้วยตัวเองก่อนเสมอ ดูว่าที่พักคุณภาพเป็นอย่างไร มีอุปกรณ์รองรับอย่างไร ฯลฯ ถ้าเราสร้างสามารถสร้างความพอใจ ในราคาที่เหมาะสม ก็จะมีการเซ็นสัญญาระยะยาวกันเป็นปี ทำให้เราได้ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นหลัก” ประทีป เผย
“บูติค ราฟท์ รีสอร์ต” เริ่มก่อสร้างปี พ.ศ.2550 และเปิดบริการจริงปี พ.ศ.2552 โดยใช้เงินลงทุนเบื้องต้น รวมประมาณ 11 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้เป็นค่าสร้างเรือนแพไม้บ้านโบราณ ต่อหลังงบประมาณสร้างกว่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าแพไม้ไผ่แบบทั่วไปที่ค่าก่อสร้างเพียง 2-3แสนบาทต่อหลัง
ภายในเรือน VIP มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ต่างจากห้องพักตามโรงแรม มีทั้งห้องน้ำในตัว เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น แอร์ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ฯลฯ ที่สำคัญ ก่อสร้างอย่างมั่นคง แม้จะลอยอยู่ในน้ำก็ไม่เกิดอาการโครงเครง
เจ้าของธุรกิจ เล่าด้วยว่า ช่วง 2เดือนแรกแขกยังไม่มากนัก แต่ด้วยความโดดเด่นที่เวลานั้น เป็นเรือนแพ VIP มาตรฐานระดับโรงแรมแห่งแรกและแห่งเดียวในละแวกท้องถิ่น ประกอบกับการทำตลาดผ่านเอเยนต์ดังกล่าวข้างต้น หลังผ่านเดือนที่ 3 จนถึงปัจจุบัน มีแขกเข้าพักเต็มตลอดทุกวัน แถมมีคิวจองเต็มล่วงหน้าข้ามเดือน
“แม้แต่วันธรรมดา หรือช่วงโลว์ซีซั่นของเราก็เต็มตลอด เพราะลูกค้าของเรากว่า 70% จะผ่านทางเอเยนต์ ซึ่งทำสัญญาล่วงหน้ากันเป็นปี ซึ่งเขาส่งลูกค้าเข้าพักตลอด ทำให้วันธรรมดาของเราก็มีแขกเต็ม ส่วนวันหยุดสุดสัปดาห์ ยิ่งไม่ต้องห่วง เพราะมีลูกค้าคนไทย กับลูกค้า walk in มาเข้าพักต่อเนื่อง” เจ้าของธุรกิจหนุ่ม กล่าว
ปัจจุบัน “บูติค ราฟท์ รีสอร์ต” มีบริการห้องพักเรือนแพแบบมาตรฐาน 13 หลัง ราคาค่าพักคืนละ 3,500 บาท เรือนแพสำหรับคู่ฮันนีมูน 1 หลัง ราคา 5,000 บาท และห้องพักบนอาคาร 5 ห้อง คืนละ 1,500 บาท ภายในรีสอร์ต นอกเหนือจากเรือนแพแล้ว ยังมีห้องอาหาร และแพที่ต่อประกอบเป็นสระว่ายน้ำด้วย
ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าที่เข้าพักส่วนใหญ่จะมาจากเอเยนต์ส่งมา 70% และติดต่อเข้าพักเองประมาณ 30% โดยแบ่งเป็นแขกชาวต่างประเทศ ราว 50% ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป เช่น โปแลนด์ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย เป็นต้น ส่วนอีก 50% เป็นชาวไทย
ด้วยจำนวนผู้เข้าพักที่ดีต่อเนื่อง ประทีปบอกว่า ผลประกอบการเติบโตทุกปี สามารถจะนำไปแบ่งปันให้พนักงานที่มีอยู่ 23 คน ได้ปรับเงินเดือนทุกปี และมีโบนัสปีละ 2 ครั้ง นอกจากนั้น ผลกำไรส่วนใหญ่จะนำไปลงเป็นค่าก่อสร้างเรือนแพใหม่เพิ่มเติมรองรับลูกค้ามากขึ้น
เมื่อสอบถามถึงปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจ เขาชี้ไปที่ภัยธรรมชาติที่มักมาเยือน จ.กาญจนบุรี สม่ำเสมอ โดยเฉพาะภัยน้ำท่วมที่เจอแต่ละครั้งจะทำให้พื้นทิ่ติดริมน้ำถูกเซาะหายไปครั้งละเป็นเมตร แนวทางแก้ปัญหา มีทั้งใช้วิธีธรรมชาติ ด้วยการปลูก "ต้นอ้อ" บริเวณริมตลิ่ง เพื่อช่วยรักษาหน้าดิน ควบคู่กับเฝ้าติดตามข่าวความช่วยเหลือจากภาครัฐที่มักจะโครงการลดผลกระทบมาเสมอ อย่างเช่น เมื่อปี 2555 ได้รับบริการด้านสินเชื่อจาก "ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย" (เอสเอ็มอีแบงก์) มาช่วยด้านเงินทุนหมุนเวียนซ่อมแซมพื้นที่ และสร้างแพเพิ่ม ช่วยให้ธุรกิจไม่สะดุดแม้ต้องเจอภัยธรรมชาติ
“เรื่องกำไรตอนนี้ ส่วนใหญ่มันอยู่ในรูปสิ่งก่อสร้าง โดยเฉพาะเรือนแพ ซึ่งทำจากโครงเหล็กกับไม้เก่าเป็นหลัก ในอนาคต ถ้าเกิดวิกฤต จนผมไม่สามารถทำธุรกิจนี้ได้แล้ว เรือนแพของเราก็มีคนรอซื้อต่ออยู่แล้ว หรือพวกเหล็กและไม้เก่า อายุเป็นร้อยปี ผมสามารถรื้อมาขายได้ทั้งหมด ซึ่งวันนี้ ราคามันสูงกว่าที่ผมซื้อมาหลายเท่า” นักธุรกิจหนุ่ม บอกเล่าถึงแนวคิดป้องกันความเสี่ยงหากเกิดอุบัติเหตุในธุรกิจขึ้น
ด้วยโมเดลธุรกิจเรือนแพ VIP ริมน้ำของ “บูติค ราฟท์ รีสอร์ต” โดนใจลูกค้าอย่างมากแขกเข้าพักแน่นตลอด เป็นธรรมดาย่อมมีนักลงทุนหลายอื่นๆ สนใจเข้ามาแข่งขันทำธุรกิจในรูปแบบใกล้เคียงกัน ประทีปยอมรับว่า ทุกวันนี้ มีรีสอร์ตอีกประมาณ 2-3 ราย ที่ทำเรือนแพมาตรฐานโรงแรมลักษณะใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ส่งผลต่อธุรกิจของเขามากนัก เนื่องจากปัจจัยสำคัญ ทำมาก่อน และมีฐานลูกค้าจากกลุ่มเอเยนต์ที่เซ็นสัญญาไว้กว่า 40 ราย
แม้ธุรกิจรีสอร์ตของเขา จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ในความเป็นจริง อีกบทบาท ประทีปยังทำงานเป็นพนักงานบริษัทอยู่ด้วย โดยแบ่งเวลาไปทำงานประจำสัปดาห์ละ 3 วัน ตามสัญญาจ้างพิเศษที่นายจ้างมอบให้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อแลกกับฝีมือที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ส่วนอีก 4 วันใช้ดูแลธุรกิจรีสอร์ตของตัวเอง
เขาทิ้งท้าย แผนในอนาคต พยายามจะพัฒนาต่อยอดรีสอร์ตเรือนแพริมน้ำแห่งนี้ ให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ปริมาณ สามารถรองรับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และด้านบริการต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจที่สุด เมื่อได้มาพักผ่อน จ.กาญจนบุรี
โทร.034-634-191 หรือ www.boutiqueraft-riverkwai.com
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *