ปรากฏการณ์ป็อปคอร์นไฮโซกำลังอินเทรนด์ในเมืองไทย ทว่าด้วยราคาสูงทำให้ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงได้ยาก จุดนี้เป็นหนึ่งในเหตุให้ป็อปคอร์นน้องใหม่สัญชาติไทยเห็นช่องว่างเข้ามาเติมเต็มตลาด ด้วยการคลอดแบรนด์ ‘ComeWhan+9’ ที่กล้ายืนยันคุณภาพไม่แพ้แบรนด์เนม แถมปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทย ในระดับราคากลางๆ ให้ผู้บริโภคลองลิ้มความอร่อยได้ง่ายยิ่งขึ้น
ศราวุฒิ กิติปัญญา เจ้าของป็อปคอร์นสัญชาติไทย เล่าจุดเริ่มต้นให้ “SMEs ผู้จัดการออนไลน์” ฟังว่า เกิดขึ้นโดยบังเอิญ จากเดิมเคยเปิดร้านกาแฟอยู่ที่ จ.เชียงราย โดยเมื่อ 1 ปีที่แล้วอยากจะทำขนมวางขายภายในร้าน เวลานั้นพบข้อมูลในหลายประเทศ ป็อปคอร์นเคลือบคาราเมลกำลังได้รับความนิยมอย่างยิ่ง จึงลองศึกษาวิธีการทำทางอินเทอร์เน็ต แล้วทดลองวางขายภายในร้านกาแฟ ควบคู่กับขายผ่านสังคมออนไลน์
ปรากฏว่าผลตอบรับเกินคาด ขายดีจนรายได้แซงร้านกาแฟ อีกทั้งในโลกออนไลน์เกิดการบอกต่ออย่างกว้างขวาง และมีออเดอร์สั่งเข้ามาจากทั่วประเทศ ทำให้เห็นโอกาสว่าธุรกิจนี้มีแนวโน้มดี จากแค่คิดจะทำขายเสริมในร้านกาแฟ กลายเป็นเดินหน้าทำธุรกิจป็อปคอร์นอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว ภายใต้แบรนด์‘ComeWhan+9’
อย่างไรก็ตาม หนุ่มไฟแรงรู้ดีว่าถ้าจะเลียนแบบเจ้าดังทุกอย่างไม่มีเลยที่จะแจ้งเกิดได้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะฉีกให้แตกต่าง ตั้งแต่วัตถุดิบเมล็ดข้าวโพด ซึ่งเจ้าดังจะเลือกพันธุ์ “มัชรูม” (Mushroom) ในขณะที่ ‘ComeWhan+9’ เลือกใช้พันธุ์ “บัตเตอร์ฟลาย” (Butterfly) แม้การแตกตัวของเมล็ดข้าวโพดจะมีขนาดเล็กกว่าพันธุ์มัชรูม แต่มีข้อดีเนื้อจะแน่นและรสเข้มข้น
อย่างไรก็ตาม หนุ่มไฟแรงรู้ดีว่าถ้าจะเลียนแบบเจ้าดังทุกอย่างไม่มีเลยที่จะแจ้งเกิดได้ ดังนั้นจึงเลือกฉีกให้แตกต่าง ตั้งแต่วัตถุดิบเมล็ดข้าวโพด ซึ่งเจ้าดังจะเลือกพันธุ์ “มัชรูม” (Mushroom) ในขณะที่ ‘ComeWhan+9’ เลือกใช้พันธุ์ “บัตเตอร์ฟลาย” (Butterfly) แม้การแตกตัวของเมล็ดข้าวโพดจะมีขนาดเล็กกว่าพันธุ์มัชรูม แต่มีข้อดีเนื้อจะแน่นและรสเข้มข้น
นอกจากนั้น สูตรคิดค้นของตัวเองมีกระบวนการต่างๆ รวม 10 ขั้นตอน โดยเฉพาะจุดเด่นปรับรสชาติให้หวานน้อยถูกปากคนไทย ควบคู่กับคัดสรรวัตถุดิบทุกอย่างเป็นเกรดพรีเมียมและอิงกระแสสุขภาพ เช่น คั่วโดยใช้เป็นน้ำมันรำข้าว น้ำตาลใช้เป็นออแกนิก และเจาะจงใช้เนยสดแท้เท่านั้น เป็นต้น
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายวางไว้ที่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ฐานะระดับกลางขึ้นไป ดังนั้น ด้านราคาพยายามให้อยู่ระดับกลาง สอดคล้องกับตลาดเป้าหมาย โดยมี 3 รูปแบบ ได้แก่ ซอง ขนาด 80 กรัม ราคา 65 บาท ถังเล็ก ขนาด 90 กรัม ราคา 85 บาท และถังใหญ่ ขนาด 1.8 ลิตร ราคา 165 บาท
การผลิตปัจจุบันยังเป็นรูปแบบกึ่งครัวเรือน แต่กำลังพัฒนาสู่มาตรฐานครบวงจรเร็วๆ นี้ ด้วยการสร้างโรงงานมาตรฐาน GMP รวมถึงสั่งซื้อเครื่องจักร และปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 6 แสนบาท คาดเสร็จกลางปี 2557 นอกจากนั้น ด้านตลาดจากปัจจุบันขายผ่านออนไลน์ กับออกงานแสดงสินค้า แต่ในอนาคตจะเพิ่มเติมโดยวางขายในร้านสะดวกซื้อเจ้าดัง และในซูเปอร์มาร์เกตตามห้างสรรพสินค้าด้วย
สำหรับความท้าทายในธุรกิจนี้ ศราวุฒิชี้ไปที่ต้องพยายามผลักดันให้สินค้าเป็นคำตอบตรงกลาง เติมช่องว่างตลาดระหว่างป็อปคอร์นราคาแพงจากต่างประเทศ กับข้าวโพดคั่วราคาถูกที่ขายอยู่ในเมืองไทยมายาวนาน
“สำหรับคนไทยส่วนหนึ่งยังติดภาพข้าวโพดคั่วต้องเป็นขนมราคาถูก ในขณะเดียวกัน ตลาดคนเมืองยอมจ่ายเงินซื้อป็อปคอร์นราคาแพงจากต่างแดน ส่วนแบรนด์ไทยการยอมรับของลูกค้าก็ยังมีข้อจำกัด ดังนั้นผมจึงพยายามวางตำแหน่งเป็นทางเลือกตรงกลาง โดยเน้นคุณภาพไม่แพ้เจ้าดังต่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็ไม่ลงไปแข่งในตลาดข้าวโพดคั่วราคาถูก” เจ้าของธุรกิจกล่าว
เมื่อถามถึงความกังวลว่าป็อปคอร์นจะเป็นเพียงธุรกิจแฟชั่นชั่วคราวเท่านั้น เขาระบุว่า ในความเป็นจริงแล้วป็อปคอร์นหรือข้าวโพดคั่วเป็นขนมที่มีนานมากแล้ว คนไทยรู้จักกันดี หากสามารถสร้างจุดเด่นเรื่องรสชาติและคุณภาพให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้ ควบคู่กับมีกิจกรรมกระตุ้นตลาดต่อเนื่อง แม้ในอนาคตกระแสอาจจะไม่ร้อนแรงเหมือนปัจจุบัน ก็เชื่อว่ายังมีขาประจำซื้อกินอย่างต่อเนื่องยั่งยืนได้
โทร. 08-9265-6452 หรือ FB:ComeWhon.9coffee
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *