ชี้เอสเอ็มอีไทยสุดโลว์เทค วอนรัฐเหลียวแลเสริมแกร่งไอที

กสอ.แจงเอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่ยังอ่อนความชำนาญในการใช้ไอทีเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ ระบุผลสำเร็จจากโครงการเสริมแกร่งไอทีให้เอสเอ็มอีในปี 56 ช่วยเพิ่มมูลค่า ศก.กว่า 200 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าต่อในปีหน้า วอนรัฐบาลเห็นความสำคัญเพิ่มงบประมาณเสริมแกร่งด้านไอทีให้เอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องรับศึก AEC

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวภายหลังงานแถลงผลงานการดำเนินโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ (ECIT) ว่า ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที มีความสำคัญยิ่งต่อการประกอบการธุรกิจ โดยเฉพาะต่อธุรกิจระดับเอสเอ็มอี เพราะจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และลดต้นทุน ซึ่งในช่วง 1-2 ปีหลังที่ผ่านมาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยหันมาตื่นตัวให้ความสำคัญต่อการใช้ไอทีอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถใช้ระบบไอทีได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากขาดความรู้ และความเข้าใจในเรื่องไอทีที่ถูกต้องและแท้จริง ตลอดจนยังไม่รู้ว่าจะใช้ไอทีรูปแบบใดจึงจะเหมาะต่อธุรกิจของตัวเองที่สุด ดังนั้นการใช้ไอทีของเอสเอ็มอีไทยจึงเป็นลักษณะลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง

ดังนั้น ทางกรมฯ จึงได้จัดทำโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ (ECIT) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาให้ภาคธุรกิจระดับเอสเอ็มอีใช้ไอทีเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ เพิ่มผลิตภาพกิจการ โดยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง 5 ปีแล้ว

สำหรับผลการดำเนินโครงการนี้ ในปีงบประมาณ 2556 ใช้งบประมาณไป 35 ล้านบาท ปรากฏผลนับถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2556 ก่อให้เอสเอ็มอีที่เข้าโครงการนี้ ประมาณ 780 กิจการ จำนวน 1,500 รายเกิดการเพิ่มผลิตภาพเป็นมูลค่ากว่า 78 ล้านบาท ช่วยลดต้นทุนจำนวน 48 ล้านบาท และก่อให้เกิดมูลค่าทางอ้อม เช่น การลงทุนขยายกิจการ การลงทุนด้านการจ้างงานเพิ่ม จำนวน 12 ล้านบาท เบ็ดเสร็จก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจมูลค่ารวมกว่า 138 ล้านบาท หรือถ้าดูความคุ้มค่าในการลงทุน จากงบประมาณ 35 ล้านบาท โดยวัดความคุ้มทุนแบบ Cost-Benefit แล้วจะได้ค่าเท่ากับ 3.97 และคาดว่าถึงสิ้นเดือนกันยายน 2556 หรือสิ้นปีงบประมาณ 2556 จะก่อมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ถึง 200 ล้านบาท

รองอธิบดี กสอ.กล่าวต่อว่า ในปี 2557 ทางกรมฯ จะสนับสนุนโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับงบประมาณมาจำนวน 30 ล้านบาท กิจกรรมส่วนใหญ่ยังคงดำเนินงานลักษณะเดียวกับที่ผ่านมา เช่น ส่งเสริมการใช้ซอฟต์แวร์บริหารจัดการผ่านคลาวด์คอมพิวติ้ง การใช้ตลาดออนไลน์ ส่งเสริมใช้กรีนไอที เป็นต้น โดยในปี 2557 ยังเพิ่มเติมโมเดลใหม่ของการส่งเสริมเอสเอ็มอีในการใช้ไอทีใน 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่ โครงการส่งเสริม SMEs ใช้ Social Media เพื่อเพิ่มศักยภาพการตลาด ดำเนินงานในลักษณะการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาเชิงลึก ใช้เวลาดำเนินการกิจการละ 1-4 เดือน และโครงการส่งเสริมเอสเอ็มอีใช้ฟังก์ชันงานที่เป็น Free Ware ให้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการในองค์กร โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น การใช้ Open Source ของโปรแกรม Office ทดแทนการใช้ Microsoft Office เป็นต้น

นอกจากนั้น จะให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เคยเข้าโครงการนี้แล้วเกิดประสบความสำเร็จเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงเพื่อถ่ายทอดความรู้แก่เอสเอ็มอีรุ่นใหม่ๆ ต่อไปด้วย โดยตั้งเป้าโครงการ ECIT ในปี 2557 จะมีเอสเอ็มอีจำนวน 900 กิจการเข้าร่วม และคาดจะช่วยให้สามารถลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย และสร้างมูลค่าเศรษฐกิจรวมไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท

นายกอบชัยระบุด้วยว่า อยากให้ภาครัฐหันมาเพิ่มความสำคัญในการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยใช้ระบบไอทีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโครงการนี้ ซึ่งได้รับความสำเร็จอย่างสูง เอสเอ็มอีมีความต้องการเข้าร่วมโครงการอีกจำนวนมาก จึงอยากขอให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณมาดำเนินการปีละอย่างน้อย 200-300 ล้านบาท เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถมาเข้าโครงการได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญๆ จำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในเร็วๆ นี้

ด้านนายเดชา วัฒนสุพงษ์ เจ้าของธุรกิจร้านอุปกรณ์ประดับยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเอสเอ็มอีที่เข้าโครงการ ECIT กล่าวว่า ประโยชน์ที่ได้ทำให้สามารถใช้ไอทีมาต่อยอดทำตลาดผ่านทางเฟซบุ๊ก ช่วยให้กิจการมียอดขายเพิ่มขึ้นทุกเดือน อีกทั้งจากเดิมที่ต้องเสียเงินออกงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับรถยนต์ มีค่าใช้จ่ายหลายแสนบาท แต่เปลี่ยนมาจัดแคมเปญบนเฟซบุ๊กแทน ปรากฏว่ายอดขายดีกว่าไปออกบูทเสียอีก ขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลงถึง 80%

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *