ต้นกล้าดอยหลวง อีกหนึ่งธุรกิจเจ้าของ “สำนักพิมพ์แม็ค” พลิกผืนป่าปลูกกาแฟ

“พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า” พระราชเสาวนีย์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2525 นี้เป็นสิ่งที่เจ้าของสำนักพิมพ์แม็ค (MAC) ยึดถือมาตลอด เมื่อผันตัวเองมาเป็นธุรกิจ “สถานีต้นกล้าดอยหลวง” แหล่งเพาะต้นกล้ากาแฟคุณภาพเยี่ยมแก่เกษตรกรโดยไม่ทำลายป่าไม้

เมื่อพูดถึงไร่กาแฟ หลายคนคงนึกถึงต้นกาแฟจำนวนมากผุดขึ้นเต็มพื้นที่สันเขาสุดลูกหูลูกตา แต่สำหรับไร่ดอยเมฆ (หมู่บ้านปางมะโอ) อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ต้นกาแฟกลับแทรกตัวอยู่ในป่า อาศัยร่มเงาเจริญเติบโตโดยไม่ต้องแผ้วถางป่าไม้เพื่อปลูกต้นกาแฟโดยเฉพาะ วิถีทางนี้ “นายพีระ พนาสุภณ” ผู้บริหาร บริษัท แม็คเอ็ดดูเคชั่น จำกัด หรือที่รู้จักในนามของสำนักพิมพ์แม็ค เป็นผู้เดินตามแนวคิดของเกษตรกร หลังซื้อที่ดินสันเขาหวังเป็นที่พักผ่อนช่วงบั้นปลายชีวิต แต่กลับเห็นธุรกิจการปลูกกาแฟที่ไม่ทำลายป่า พร้อมเห็นปัญหาต้นกล้ากาแฟของเกษตรกรที่นำไปปลูกได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง จึงหาทางช่วยด้วยการตั้ง “สถานีต้นกล้าดอยหลวง” แหล่งเพาะต้นกล้ากาแฟสายพันธุ์ดีให้เกษตรกรนำไปปลูกเพิ่มรายได้ พร้อมตนเองก็ใช้ที่ดินป่าไม้กว่า 100 ไร่ปลูกกาแฟและชาควบคู่ไปด้วย

ธุรกิจด้านกาแฟนั้น นายพีระยอมรับว่าตนเองไม่ได้ถนัดมากนักเพราะเดินทางในเส้นทางสายวิชาการมาโดยตลอด แต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “นายคมพิชญ์ พนาสุภณ” กลับสนใจธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มีอัตราการเติบโตขึ้นทุกปี ขณะที่ประเทศไทยความต้องการมีมากไม่เพียงพอต่อผลผลิตกาแฟต้องมีการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง จึงคิดพัฒนาธุรกิจดังกล่าว เริ่มจากต้นน้ำ ด้วยการเพาะต้นกล้ากาแฟคุณภาพดีจำหน่ายให้เกษตรกรในราคาถูกเพื่อนำไปปลูกให้ได้ผลผลิตดี จากการสนับสนุนทางวิชาการโดยศูนย์วิจัยและอบรมที่สูง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

“แนวคิดในการปลูกกาแฟและะชามาจากการซื้อที่ดินกว่า 100 ไร่ที่เจ้าของขายยกแปลง พร้อมบ้านอีก 1 หลัง ที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ที่ซื้อไว้เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศในช่วงที่อยากรีไทร์ตัวเองขออยู่เงียบๆ พักผ่อน กระทั่งวันหนึ่งผม (นายพีระ) ถอยรถจนเกือบไปชนต้นชาต้นหนึ่ง คนรถรีบร้องห้าม ขณะนั้นคิดเพียงว่าแค่ต้นชาเพียงต้นเดียวชนไปก็ไม่น่าเสียหายอะไร แต่กลับพบว่ากว่าจะได้ต้นชาที่สูงประมาณเมตรกว่าๆ ต้องใช้เวลาหลายปี และเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับเกษตรกร จากนั้นผมจึงศึกษาเรื่องกาแฟและชาอย่างจริงจัง จนรู้ว่าพืช 2 ชนิดนี้จะเติบโตได้ดีต้องอาศัยร่มเงาของป่าไม้ ดังนั้นในเมื่อเรามีผืนป่าก็น่าจะปลูกบ้าง”

ต้องยอมรับว่านายพีระอยู่ในวงการวิชาการมายาวนาน ดังนั้นเมื่อต้องมาดำเนินธุรกิจกาแฟที่แม้จะไม่ได้ลงมือทำเต็มตัวนักเพราะมีลูกชายดูแลอยู่ แต่เขาก็คิดว่าจะทำให้บ้านปางมะโอเป็นศูนย์การเรียนรู้การปลูกกาแฟแบบเกษตรอินทรีย์ และไม่ทำลายป่าไม้ที่เกษตรกรต้องมีต้นกล้าพันธุ์ดีเพื่อในระยะเวลา 5 ปีก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เกษตรกรต้องมั่นใจได้ว่าได้ผลผลิตแน่นอนโดยไม่เสียเวลาเปล่า

โดยเขาได้อาจารย์ถาวร สุภาวงศ์ นักวิทยาศาสตร์เกษตร ประจำศูนย์วิจัยและฝึกอบรมที่สูง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ดูแล วิเคราะห์ วิจัย ต้นกล้ากาแฟสายพันธุ์ดีขายให้แก่เกษตรกร พร้อมรับประกันคุณภาพ ที่ผ่านมาได้จำหน่ายต้นกล้าไปแล้ว 2 ล้านต้น และในปีนี้จะเพาะต้นกล้าอีกหลายแสนต้นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร

“ต้นกล้ากาแฟที่ดีคือต้องมีผลผลิตที่ดีด้วย คือ เมื่อปลูกไป 4 ปีต้องได้ผลผลิตเพื่อให้คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป และคุ้มค่าต่อการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรจะเจอต้นกล้าไม่มีคุณภาพทำให้เสียเวลาเปล่า แต่ต้นกล้าของสถานีต้นกล้าดอยหลวงรับรองคุณภาพได้ เนื่องจากมีนักวิชาการดูแลการเพาะเลี้ยงต้นกล้าทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด มีระบบควบคุมการผลิตต้นกล้าด้วยโรงเรือนทันสมัย เพื่อให้เกษตรกรได้ผลผลิตที่คุ้มค่าต่อการลงทุน” อ.ถาวรกล่าว

นอกจากการเพาะต้นกล้าพันธุ์ดีจำหน่ายแก่เกษตรกรแล้ว นายคมพิชญ์ยังเปิด “ร้านกาแฟดอยเมฆ” ที่ อ.เชียงดาว เพื่อเป็นร้านต้นแบบในการขยายธุรกิจในแง่ของการแปรรูปและเพิ่มมูลค่ากาแฟต่อไปในอนาคต ที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะดำเนินธุรกิจกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำแบบปลอดสารเคมี พร้อมกับการให้ความรู้ วิจัย พัฒนาสายพันธุ์กาแฟคุณภาพดีแก่เกษตรกรเพื่อความยั่งยืนต่อไปในอนาคต










***สนใจติดต่อสถานีดอยหลวงต้นกล้า อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โทร. 0-5337-5089 หรือที่ Facebook : ต้นกล้าดอยหลวง***
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *